ซื้อคอนโดอย่างไรให้ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตในเมืองมากที่สุด

กรณีศึกษา

เพื่อนผมเริ่มต้นจากการซื้อคอนโดมิเนียมแถบชานเมืองในราคา 1,100,000 บาท มีสองห้องนอน หนึ่งห้องน้ำ วัตถุประสงค์ก็เพื่อที่จะใช้พักอาศัยกับภรรยา โดยใช้เงินดาวน์ราวๆ 20-30% และที่เหลือก็ผ่อนจ่ายต่อเดือนประมาณ 8,000 บาทต่อเดือน

หลังจากที่อยู่มาได้ 3 ปี ครอบครัวนี้คิดซื้อบ้านใหม่ที่มีพื้นที่มากขึ้น จึงได้นำเงินเก็บที่ได้ไปดาวน์บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งในราคา 3.5 ล้านบาท และผ่อนจ่ายต่อเดือน 18,000 บาท เป็นเวลา 30 ปี ส่วนคอนโดมิเนียมก็ปล่อยเช่าได้ในอัตรา 8,000 บาทต่อเดือน สรุปแล้วบ้านหลังใหม่ใช้เงินผ่อนเพียง 1 หมื่นบาทต่อเดือนเท่านั้นเอง

เมื่อเวลาผ่านไปอีก 2 ปี ผู้เช่าคอนโดฯ อยากซื้อคอนโดเก็บไว้เป็นของตนเอง จึงมาเสนอซื้อคอนโดมิเนียมหลังนั้นในราคา 1.9 ล้านบาท หรือราคาสูงเกือบ 2 เท่าของที่ซื้อมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แน่นอนที่สุดว่า “ขาย” ครับ เหตุผลที่คนซื้อยอมซื้อต่อในราคาสูงมีดังต่อไปนี้
1) ราคาคอนโดมิเนียมในละแวกใกล้เคียงปรับขึ้นมากกว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว
2) คอนโดมิเนียมหลังนี้ใกล้แห่งอาหาร คือ ตลาดสด และศูนย์อาหาร หากินง่ายไม่ลำบาก
3) คอนโดมิเนียมอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า ไม่จำเป็นต้องมีรถยนต์ส่วนตัวก็เดินทางสะดวกสบายมากๆ
4) ในเวลาต่อมามีร้านสะดวกซื้อมาเปิดใกล้ๆ
5) และในเวลาถัดมากำลังจะมี Discount Store มาเปิดอีกด้วย

ด้วยเหตุผลทั้งห้าประการนับได้ว่า “ทำเล” ของคอนโดมิเนียมแห่งนี้มีการเจริญเติบโต คุณผู้อ่านจะเห็นว่า สำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำงาน หรือทำงานมาได้ระยะหนึ่งแล้ว การซื้อคอนโดมิเนียมเพื่ออยู่อาศัยนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในระยะยาว เพราะนอกจากเราจะได้อยู่อาศัยแล้ว เวลาเราต้องขยับขยายครอบครัว ก็สามารถขายคอนโดฯ หลังเก่า นำเงินเป็นทุนสำหรับซื้อบ้านหลังใหม่ได้ไม่ยากครับ

สำหรับคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง

ควรจะมีปัจจัยทั้งห้าข้อที่กล่าวมาข้างต้น และจะยิ่งดีมากขึ้นไปอีกหากคอนโดมิเนียมหลังนั้นใกล้ที่ทำงานของเรานะครับ… สำหรับคนที่ต้องการซื้อคอนโดมิเนียมซักหลัง เราจะค่อยๆมาติดตามกันต่อไปว่า การซื้อคอนโดฯ ให้คุ้มค่าที่สุดควรทำอย่างไรบ้าง ติดตามกันให้ได้นะครับ (นายแว่นธรรมดา)

ติดตามบทความน่ารู้สุดคูลสำหรับชาว GEN-C ได้ทุกเดือนทาง THE GEN-C Urban Living Solution Blog

#Anandaurbancash