การนอนหลับเป็นกระบวนการสำคัญที่ร่างกาย และสมองต้องการอย่างเพียงพอ เพื่อฟื้นฟูพลังงาน ฟื้นฟูความจำ และฟื้นฟูสุขภาพโดยรวมของร่างกาย โดยที่การนอนหลับทั่วไปของคนปกติจะแบ่งออกเป็น 2 ระยะหลัก คือ ระยะการนอนหลับตื้น (Non-REM) และการนอนหลับฝัน (REM sleep – Rapid Eye Movement) และในช่วงเวลา REM sleep นี้แหละที่เป็นช่วงการ ‘ฝัน’ มากที่สุด ซึ่งสมองยังคงทำงานอย่างแข็งขัน และร่างกายมีการเคลื่อนไหวของลูกตาอย่างรวดเร็ว
บางคนอาจคิดว่า การนอนหลับแล้วไม่ฝัน เป็นสัญญาณของการพักผ่อนที่ดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่ไม่ฝันเลย การที่ไม่ฝันเลยอาจเกิดจากการที่เรานอนหลับแล้วไม่เข้าสู่ระยะ (REM sleep – Rapid Eye Movement) อย่างเต็มที่ ซึ่งส่งผลต่อการฟื้นฟูสมองและการปรับปรุงความจำ การนอนหลับที่ไม่สมบูรณ์อาจนำไปสู่ความเครียด ความเหนื่อยล้า และความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือปัญหาทางจิตใจได้เช่นกัน
การฝันเป็นสัญญาณว่าร่างกายเข้าสู่ระยะ (REM sleep – Rapid Eye Movement) อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญต่อการปรับสมดุลของอารมณ์และความจำ การฝันสามารถช่วยให้สมองจัดการกับความเครียดหรือความวิตกกังวลได้ดีขึ้น นอกจากนี้การฝันยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และช่วยปรับสมองให้พร้อมสำหรับการทำงานในวันถัดไป อย่างไรก็ตาม หากฝันบ่อยเกินไปหรือฝันร้าย อาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายหรือจิตใจมีความเครียดสะสม หรือเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอด้วยเช่นกัน
ข้อสรุปสำหรับคำถามที่ว่า การนอนหลับฝัน หรือ ไม่ฝัน แบบไหนดีกว่ากัน
การนอนหลับที่ดีควรมีการเข้าสู่ระยะ (REM sleep – Rapid Eye Movement) อย่างสม่ำเสมอและการฝันเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการฟื้นฟูสมอง แม้ว่าการนอนหลับโดยไม่ฝันอาจดูเหมือนเป็นการพักผ่อนที่ดี แต่แท้จริงแล้วร่างกายอาจไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่
ในขณะที่การฝันบ่อย ๆ อาจช่วยให้ร่างกายและจิตใจพร้อมสำหรับการทำงานในวันถัดไป แต่หากฝันบ่อยเกินไปหรือฝันร้ายก็อาจเป็นสัญญาณว่าคุณต้องปรับสมดุลการนอนของตัวเองเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่และมีสุขภาพที่ดีขึ้น
คำแนะนำ: การนอนให้เพียงพออย่างน้อย 7-9 ชั่วโมงต่อคืน และพยายามลดความเครียดก่อนนอน เช่น ทำสมาธิ หรือฟังเพลงผ่อนคลาย เพื่อช่วยให้คุณหลับได้สนิทและฝันน้อยลงในทางที่ดีต่อสุขภาพค่ะ
