พวกเราทราบกันดีอยู่แล้วว่านี่คือยุคของความบันเทิงแบบสตรีมมิ่งหรือบริการคอนเทนต์แบบตอบรับสมาชิกผ่านอินเตอร์เนต ข้อดีคือคุณจะได้เลือกดูสิ่งที่ถูกใจได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ ฉะนั้นไม่น่าแปลกใจเลยที่คนส่วนหนึ่งจะบอกลาการรับชมช่องทีวีปกติหรือหนังโรงไปแล้ว เพราะสตรีมมิ่งตอบความต้องได้ดีกว่า ถูกกว่า รวดเร็วกว่า และหลากหลายกว่า ปัญหาคือตอนนี้มีผู้ให้บริการอยู่มากมายหลายเจ้า จะให้สมัครทิ้งไว้ทั้งหมดคงไม่ดีแน่ๆ เพราะนอกจากจะดูไม่ทันแล้วค่าบริการก็ไม่ใช่ถูกๆ วันนี้เราเลยหยิบเอาสตรีมมิ่งในเมืองไทยมาเทียบให้ดูกันว่า ใครมีดีหรือไม่ดีตรงไหนบ้าง
Netflix
อันดับหนึ่งและผู้ประสบความสำเร็จตัวจริงในการบุกเบิกตลาดนี้ในเมืองไทย Netflix คือคำสามัญที่ทุกคนรู้จัก จุดแข็งคือมีหนังพากย์ไทยเยอะ มี Exclusive Content ที่หลากหลาย มี Original Content มากที่สุดในปัจจุบัน มีรอบการเข้าออกของหนัง ภาพและเสียงดีมาก มีซีรี่ย์ที่มักจะอยู่ในความนิยมเยอะมาก แบ่งโปรไฟล์ผู้รับชมได้ชัดเจนเหมาะกับครอบครัว ราคาเริ่มต้นแค่เดือนละ 99 บาทสำหรับแบบมือถืออย่าง และแพ็คเกจแพงสุดอยู่ที่ 419 บาทสำหรับการรับชมในความชัดระดับ 4K จุดด้อยอาจจะอยู่ที่ราคาแพง หนังใหม่ๆ รอนาน และหนังมีหมดอายุ
Content ที่ห้ามพลาด: Stranger Things, Dark, Black Mirror, Money Heist, Squid Game
HBO Go
สตรีมมิ่งจากค่ายชื่อเดียวกัน เพียงแต่ HBO Go ดูจะเป็นเวอร์ชั่นลองเชิงของ HBO เท่านั้นเนื่องจากจำนวน Content ต่างๆ ยังไม่เท่ากับตัวจริงอย่าง HBO Max จุดแข็งอยู่ที่หนังเข้าใหม่เร็วมาก พากย์ไทยเยอะเกือบทุกเรื่องทั้งหนังและซีรี่ย์ มี Content ของค่าย DC และ Warner Bros ค่าบริการรายเดือนแค่ 149 บาท จุดด้อยคือ Content ยังไม่หลากหลาย ไม่มีความชัดระดับ 4K แต่ในอนาคตอันใกล้เราอาจจะได้เห็นการมาของ HBO Max ก็ได้นะ
Content ที่ห้ามพลาด: Game of Throne, Westworld, Watchmen, Friends, Harry Potter, DCEU
Disney
สตรีมมิ่งที่เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่สมกับเป็นของ Disney แต่ประสบปัญหาคล้ายๆ กับ HBO Go คือค่ายเลือกจะเปิดให้บริการไม่เต็มรูปแบบเท่าใดนัก Content หลายอย่างในบ้านเราจึงไม่ตรงกับโซนอื่นๆ ของโลก แต่โดยรวมก็ยังมีความน่าสนใจอยู่ดี จุดแข็งคือบรรดา Content Disney ที่รวมถึงหนัง Marvel และ Star Wars อีกทั้งมีสารคดีจาก National Geographic ให้ชมอีกเพียบ หนังใหญ่ๆ มีพากย์ไทยทุกเรื่อง จุดด้อยคือเรื่องภาพและความหลากหลายของ Content ค่าบริการรายเดือน 99 บาทและรายปี 799 บาท (ลูกค้าทั่วไป)
Content ที่ห้ามพลาด: จักรวาล MCU, Star Wars, การ์ตูน Disney ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
WeTV
สตรีมมิ่งจากยักษ์ใหม่ของจีนอย่าง Tencent ที่รวมเอาซีรี่ย์สำหรับรักหนังจีนไว้ทั้งเก่าและใหม่ แถมยังมีหลายแนวให้เลือกดูทั้งดราม่า โรแมนติก คอมเมดี้ สืบสวน หนังสมัยใหม่และหนังกำลังภายใจ นอกจากนี้ยังมีซีรีย์จากชาติอื่นๆ เช่นเกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน รวมถึงละครไทยด้วย ปัจจุบันเริ่มมี Original Content ของตัวเองให้รับชมบ้างแล้ว จุดแข็งคือหนังจีนเยอะ มีพากย์ไทย ดูฟรีได้ มี Flying Comment ให้คนดูรู้สึกเหมือนมีเพื่อนนั่งดูสดไปพร้อมๆ กันด้วย จุดด้อยคือไม่มี Content จากฝั่งตะวันตก ราคาเริ่มที่ 59 บาทสำหรับเดือนแรกและ 89 บาทในเดือนถัดไป รายปีจ่ายแค่ 599 บาทเท่านั้น
Content ที่ห้ามพลาด: ดุจดวงดาวเกียรติยศ, สตรีหาญฉางเกอ, ซีรี่ย์และวาไรตี้จากจีน
Viu
ถ้าติ่งจีนมี WeTV ติ่งเกาหลีก็ขาด Viu ไม่ได้ สิ่งที่ค่ายนี้ต่างจาก WeTV ชัดๆ เลยก็คือ การเป็นศูนย์รวมของ Content เกาหลี รวมไปถึงชาติอื่นๆ ในเอเซียด้วย และจุดแข็งพิเศษของแอปนี้ที่หลายคนคาดไม่ถึงก็คือ การมีเสียงพากย์ไทยท้องถิ่น เช่น ภาษาอีสานและภาษาเหนือให้เลือกรับชมได้ด้วย นอกจากนี้ยังมี Original Content ของตัวเองที่คุณภาพไม่น้อยหน้าใคร แถมยังดูฟรีได้ด้วย จุดด้อยคือบาง Content ออกอากาศช้ากว่าเจ้าอื่น ไม่มีภาพระดับ 4K ราคาระดับพรีเมียมไม่มีโฆษณา 119 บาท/เดือน (ลูกค้าทั่วไป)
Content ที่ห้ามพลาด: Ghost Doctor ผีหมอ หมอผี,Running Man, F4 Thailand
iQiyi
สมญานาม Netflix แดนมังกร iQiyi คือคู่แข่งโดยตรงของ WeTV ด้วยจำนวน Content มหาศาลจากจีนและเอเซียชาติอื่นๆ รวมไปถึงอนิเมะญี่ปุ่นที่ออกอากาศตอนใหม่ค่อนข้างไว และยังมีพากย์ไทยเยอะอีกด้วย ราคารายเดือนก็ไม่สูงมาก โดยแบบ Standard อยู่ที่เดือนละ 119 บาท และแบบ Premium เดือนละ 199 บาท อีกทั้งสามารถดูฟรีแบบมีโฆษณาได้ด้วย จุดแข็งคือเป็น Hub ของ Content จีนคุณภาพ จุดด้อยอยู่ที่เนื้อหาซ้ำซ้อนกับคู่แข่งฝั่งเอเซียด้วยกัน ราคาแพงกว่า ไม่มีความชัดระดับ 4K
Content ที่ห้ามพลาด: Jirisan, เป็นต่อ 2022, Animation จากญี่ปุ่น
Amazon Prime
อีกหนึ่งยักษ์ใหม่ที่โดดลงมาเล่นในตลาดสตรีมมิ่ง โดย Amazon Prime ถือว่าคู่แข่งสำคัญของ Netflix ในตลาดอเมริกาเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ใช่แค่การดูหนังเท่านั้น สมาชิก Amazon Prime ยังได้สิทธิพิเศษในการซื้อของผ่านเว็บไซต์ Amazon.com อีกด้วย นอกจากนี้ยังรวมสิทธิในการฟังเพลง อ่านหนังสือต่างๆ และรับเกมฟรีในโอกาสพิเศษอีกด้วย จุดแข็งของค่ายนี้อยู่ที่ Content หนังและซีรี่ย์ฝรั่งแบบจัดเต็ม มีทั้งหนังคลาสสิก หนังดูยาก มีความชัดระดับ 4K และ Original Content ที่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ จุดด้อยคือไม่มีพากย์ไทยและบางเรื่องไม่มี Subtitle ภาษาไทย ทำให้คนไทยยังเข้าถึงยากสักหน่อย ค่าบริการเดือนละ 199 บาท ทดลองดูฟรีได้ 30 วัน
Content ที่ห้ามพลาด: The Boys, Jack Tyan, Amercian Gods, The Lord of The Rings: The Rings of Power (อยู่ระหว่างถ่ายทำ)
MONO MAX
สตรีมมิ่งสัญชาติไทยที่มีหนังดีซีรี่ย์ดังเพียบ ทั้งจากฝั่งตะวันออกและตะวันตก รวมถึงการ์ตูนและหนังไทยน่าดูจำนวนมาก จุดแข็งคือเป็นสตรีมมิ่งคนไทยจึงมีพากย์ไทยทุกเรื่อง มีถ่ายทอดสดกีฬาและดูย้อนหลังได้ ดูได้พร้อมกันถึง 5 จอ จุดด้อยคือ Content ค่อนข้างเก่า ไม่มี Original Content ไม่มีความชัดระดับ 4K และค่าสมาชิกสูง ค่าบริการรายเดือนอยู่ที่ 250 บาท (ต่ออายุอัตโนมัติยกเลิกได้ตลอดเวลา) หรือแพ็คเกจรายครั้งเริ่มต้นที่ 730 บาท (นาน 3 เดือน ยกเลิกเมื่อครบกำหนด)
Content ที่ห้ามพลาด: ซีรี่ย์จีน, หนังพากย์ไทย, หนังนอกกระแส
Youtube Premium
สุดท้ายอาจจะเป็นสตรีมมิ่งที่มีคนดูมากที่สุดในประเทศไทยก็ได้ นั่นคือ Youtube นั่นเอง คงไม่ต้องอธิบายกันมากว่า Youtube มีความน่าสนใจอย่างไรเพราะนี่คือคลัง Content VDO ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ความพิเศษคือปัจจุบันมีระบบสมาชิกแบบ Premium ที่จะไม่แสดงโฆษณากวนใจเรา นอกจากนี้ยังมีระบบ Membership ของช่องต่างๆ ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อดู Content พิเศษอีกด้วย จุดแข็งอยู่ที่การมี Content เยอะจากทั่วทุกมุมโลก และเราเองก็สามารถสร้าง Content หารายได้ได้ มีความชัดระดับ 8K จุดด้อยคือ Content กระจัดกระจาย ต้องเงินซ้ำซ้อนให้ทั้ง Platform และ Creator โดยค่าสมาชิกสำหรับ Premium อยู่ที่ 159 บาทต่อเดือน หรือ 1,439 บาทต่อปี
Content ที่ห้ามพลาด: Youtube Recommendation