เมื่อทำงานเก็บเงินมาสักระยะ เชื่อว่าชาว Gen-C Blog หลายๆ คนคงที่จะเริ่มมองหาความมั่นคงให้กับชีวิตกันอย่างแน่นอน ทั้งนี้ “การซื้อที่อยู่อาศัย” ก็ถือเป็นหนึ่งในการวางรากฐานเพื่อความมั่นคงที่สำคัญไม่แพ้วิธีอื่นๆ ซึ่งหากจะมองถึงที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตและไลฟ์สไตล์ของพวกเราในปัจจุบัน คงนึกถึง “คอนโดมิเนียม” เป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน
และด้วยความที่ “คอนโดมิเนียม” ถือเป็นที่อยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนยุคใหม่ได้ดีที่สุด จึงไม่แปลกใจที่ในปัจจุบันจะมีโครงการเล็ก–ใหญ่ผุดขึ้นทุกหัวระแหงตั้งแต่หัวเมืองไปจนถึงชานเมือง ซึ่งการจะ ซื้อคอนโดปล่อยเช่า สักที่ต้องมีความพร้อมและทุนทรัพย์เท่าใดบ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้วครับ
เริ่มต้นจะมีคอนโดต้องเตรียมตัวอย่างไร?
คอนโดฯก็เหมือนกับอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่ราคาส่วนใหญ่มักแปรผันตรงกับทำเลที่ตั้ง ดังนั้นก่อนที่จะ ซื้อคอนโด สักห้องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประเมินงบประมาณโดยรวมคร่าวๆ แล้วจึงค่อยดูว่างบเท่านี้สามารถอยู่ในทำเลที่ตั้งบริเวณไหน ขนาดห้องเท่าใดให้เหมาะสมกับรายจ่ายที่จ่ายไหวในแต่ละเดือนนั่นเอง
ต้องสำรองเงินไว้เป็นค่าใช้จ่ายมากน้อยแค่ไหน?
โดยทั่วไปแล้วค่าใช้จ่ายในช่วงดำเนินการซื้อคอนโดฯส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราวๆ ร้อยละ 15 – 30 ของราคาคอนโดฯ ซึ่งสิ่งที่เราจะต้องชำระก็มีตั้งแต่ ค่าจอง, ค่าทำสัญญา, ค่าผ่อนดาวน์ ไปจนถึงค่าดำเนินการขอสินเชื่อและค่าใช้จ่ายในวันที่โอน ทั้งนี้คอนโดฯแต่ละแห่งมักจะมีช่วงโปรโมชั่นที่เปิดให้จองอยู่หลายรอบ เริ่มต้นตั้งแต่ Presale, Project Launch และ Grand Opening ที่จะมีราคาที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นหากชาว Gen–C Blog คนไหนที่อยากได้ราคาดีๆ แนะนำเก็บเงินไว้เพื่อรอจองในช่วง Presale จะดีที่สุดครับ
- ค่าจอง – ถือเป็นค่าใช้จ่ายเบื้องต้นในการจองห้องกับทางโครงการเพื่อแสดงออกถึงความสนใจในห้องชุดนี้ ซึ่งบางโครงการจะยังมีการคืนเงินจองให้แม้จะทำการกู้ซื้อไม่สำเร็จ (ควรศึกษาข้อมูลแต่ละโครงการให้ละเอียดก่อนทำการจอง) โดยค่าจองจะขึ้นอยู่กับราคาของคอนโดฯที่เราต้องการซื้อ อาจมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่นก็มี
- ค่าทำสัญญา – ภายหลังจากการจองราวๆ หนึ่งสัปดาห์ทางโครงการอาจนัดเข้ามาทำสัญญาซื้อขายซึ่งค่าใช้จ่ายก็จะขึ้นอยู่กับราคาของคอนโดฯที่เราต้องการซื้ออีกเช่นเดียวกัน (อาจมีค่าใช้จ่ายหลักหมื่นขึ้นไป)
- ค่าผ่อนดาวน์ – เช่นเดียวกับรถยนต์ การ ซื้อคอนโดหน้าฝน ก็ต้องมีการผ่อนดาวน์เช่นเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้วทางโครงการจะเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อในช่วงแรกๆ (เช่นรอบ Presale หรือ Project Launch) ได้ทยอยแบ่งจ่ายค่าผ่อนดาวน์ออกเป็นงวดๆ แล้วแต่ระยะสัญญาที่ทำกับทางโครงการ (เช่น 6 เดือน 12 เดือน หรือ 24 เดือน เป็นต้น)
- ค่าดำเนินการระหว่างขอสินเชื่อ – ในกรณีที่เราได้ยื่นเรื่องกู้สินเชื่อจากทางธนาคารหรือสถาบันการเงิน จะต้องมีการสำรองค่าใช้จ่ายไว้เพื่อดำเนินการในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน โดยจะแบ่งออกเป็น ค่าประเมินราคาห้องชุด (หลักพัน), ค่าจดทะเบียนจำนอง (ร้อยละ 1 ของวงเงินที่ยื่นกู้) และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย (ทางธนาคารจะเป็นผู้ประเมินราคา)
- ค่าใช้จ่ายในวันโอน – สำหรับค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ หากทางโครงการไม่ได้มีโปรโมชั่นหรือสิทธิพิเศษใดๆ มอบให้ ผู้ซื้อจะต้องรับภาระในการชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ เหล่านี้ ไล่เรียงไปตั้งแต่ ค่าธรรมเนียมการโอนร้อยละ 2 ของราคาประเมินจากกรมที่ดิน (ส่วนใหญ่มักออกคนละครึ่งกับทางโครงการ), ค่ากองทุนสำรองส่วนกลาง (เรียกเก็บครั้งเดียวและขึ้นอยู่กับขนาดตร.ม.ของห้อง), ค่าส่วนกลาง (มักเก็บล่วงหน้า 1 ปี เพื่อนำไปใช้บริหารจัดการทรัพย์สินส่วนกลางของทางคอนโดฯเช่น ค่าจ้างนิติ ค่าจ้างรปภ. ค่าดูแลสระว่ายน้ำ ค่าซ่อมบำรุงลิฟท์ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับขนาด ตร.ม.ของห้อง) และค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้าจากทางการไฟฟ้านครหลวง
เรียกได้ว่าการจะซื้อคอนโดฯได้สักที่จะต้องมีเงินเก็บราวๆ ร้อยละ 15 – 30 ของราคาคอนโดฯที่เราต้องการเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น จะซื้อคอนโดฯติดรถไฟฟ้าราคา 1 ล้าน อาจต้องมีเงินเก็บเพื่อเอาไว้ใช้จ่ายในช่วงดำเนินการราวๆ 150,000 – 300,000 นั่นเอง
ค้นหาแรงบันดาลใจ ตอบโจทย์ ตรงจุด ชีวิตคนเมือง มองโลกใหม่ในอีกมิติที่คุณไม่เคยสัมผัสที่ GEN-C Urban Living Solutions
Facebook: Ananda Development
Instagram: ananda_development
Youtube: Ananda Development