เกาะติดให้ดี 4 ปัจจัยที่ส่งผลถึงการลงทุนครึ่งปีหลัง 2022

ผู้เชี่ยวชาญเชื่อกันว่าการลงทุนในปี 2022 นั้นมีแนวโน้มที่จะแตกต่างไปจากปี 2021 ค่อนข้างมาก และเป็นเวลาที่นักลงทุนต้องขยับตัวด้วยความระมัดระวังมากกว่าเดิมเนื่องจากมีทั้งปัจจัยบวกและลบเข้ามาเปลี่ยนสถานการณ์ของตลาดได้ สำหรับที่มองหาโอกาสการลงทุนในปีนี้อยู่ เราแนะนำว่ามี 4 เรื่องที่ต้องทำความเข้าใจและจับตามองให้ดี หากว่าคาดการณ์ล่วงหน้าได้ถูกต้องแล้ว การลงทุนของคุณก็มีโอกาสสูงที่จะประสบความสำเร็จ

สถานการณ์ COVID-19

โลกได้เผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์โรคระบาดที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มาถึง 3 ปีแล้ว และนักวิเคราะห์หลายคนเห็นตรงกันว่าปีนี้น่าจะเป็นปีสุดท้ายที่โลกจะต้องอยู่ในความหวาดกลัวต่อเจ้าโรคนี้ การพัฒนาของวัคซีนที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นและทั่วถึงมากขึ้นทำให้หลายๆ ประเทศเริ่มเปลี่ยนแปลงท่าทีและผ่อนปรนนโยบายเพื่อให้ผู้คนสามารถอยู่กับ COVID ได้โดยไม่กระทบการใช้ชีวิตมากเกินไปเช่น เราจะเห็นว่ามีการเปิดประเทศมากขึ้น มีการบินระหว่างประเทศมากขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยังไม่มีใครตอบได้คือ COVID จะกลายพันธุ์จนเอาชนะวัคซีนรุ่นปัจจุบันและเริ่มแพร่ระบาดอีกครั้งหรือไม่

สงครามรัสเซีย-ยูเครน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าสงครามครั้งนี้ส่งผลกับเศรษฐกิจและการลงทุนอย่างมาก ซ้ำร้ายสถานการณ์ยังยืดเยื้อกว่าที่หลายฝ่ายคาดการไว้ด้วย ผลพวงจากการรบทำให้ตลาดหุ้นหลายแห่งปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องและปลายทางสุดท้ายยังดูคลุมเครือ รัสเซียเองกำลังเสียหายจากทั้งการโดนต่อต้านจากกองทัพยูเครนและการโดนคว่ำบาตรจากนานาชาติอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่หนึ่งที่เกิดขึ้นแล้วและยังไม่มีแนวโน้มจะดีขึ้นคือราคาน้ำมันตลาดโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อในรัสเซียก็เป็นปัญหาเช่นกัน ห่วงโซ่อุปทานอาจจะได้รับผลกระทบเป็นทอดๆ ไป ฉะนั้นต้องจับตาว่าสถานการณ์นี้จะจบลงอย่างไรและเมื่อไหร่ เพราะหากยิ่งทอดเวลานานอะไรความเสียหายทางเศรษฐกิจจะยิ่งขยายวงกว้างขึ้น

ภาวะเงินเฟ้อ

เรื่องข้าวของแพงไม่ใช่แค่ปัญหาในประเทศไทยเท่านั้น แต่ทั่วโลกก็กำลังเผชิญหน้าสิ่งนี้อยู่เช่นกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัสเซียที่กำลังโดนคว่ำบาตรจากปฏิบัติการณ์ทางทหารในยูเครน และสหรัฐอเมริกาเองก็กำลังหาทางแก้ปัญหาเงินเฟ้อหลังวิกฤต COVID-19 ที่พุ่งขึ้นมาแตะ 8% หรือสูงสุดในรอบ 40 ปี ยังไม่รวมตัวเลขคนว่างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าปัจจัยลบจากชาติมหาอำนาจเหล่านี้จะส่งผลต่อเนื่องไปทั่วโลก นักวิเคราะห์คาดกันว่าสหรัฐน่าจะควบคุมสถานการณ์เงินเฟ้อได้เร็วที่สุดในช่วงกลางเป็น 2023 เลยทีเดียว

สถานการณ์ในจีน

ก่อนหน้านี้จีนเผชิญหน้ากำลังภาวะเศรษฐกิจถดถอยอยู่แล้วเนื่องจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และปัจจัยลบที่ซ้ำลงมาคือการที่จีนประกาศล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้ตามนโยบาย COVID Zero ทำให้การจับจ่ายของประชาชนลดลงและภาพลักษณ์เชิงลบจากผู้ไม่พอใจต่อมาตรการแข็งกร้าวเช่นนี้ก็ส่งผลถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติไม่น้อย ด้าน Goldman Sachs Group เองได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของจีนในปีนี้ลง 0.5% นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่าจีนน่าจะคงนโยบาย COVID Zero ต่อไปจนกว่าการแพร่ระบาดจะสงบลงหรือลุกลามเกินกว่าจะควบคุมได้ ข่าวดีคือทุกฝ่ายเชื่อมั่นว่าจีนจะมีนโยบายทางเศรษกิจออกมาแก้สถานการณ์นี้อย่างแน่นอน

Related Posts

Leave a Comment

Categories

Recent Posts

Popular Tags

Scroll to Top