เมื่อเงินในบัญชีเริ่มร่อยหรอ แต่ค่าใช้จ่ายยังวิ่งเข้ามาไม่หยุด การเงินช็อตเป็นเรื่องที่ใครก็เคยเจอ อย่างไรก็ตามเพื่อน ๆ สามารถปรับตัวได้โดยใช้หลัก ‘Work Hard, Spend Smart’ หรือ ทำงานให้เต็มที่และใช้เงินอย่างชาญฉลาด เข้ามาใช้ได้ เพื่อให้ชีวิตกลับมาอยู่ในเส้นทางเดิมได้อีกครั้ง ในบทความนี้เราจะมาแชร์เทคนิคเด็ด ๆ ที่จะช่วยให้เพื่อน ๆ ตั้งหลักได้แม้ในวันที่การเงินติดขัด พร้อมแนวคิดที่ปรับใช้ได้จริงในยุคดิจิทัล
สิ่งสำคัญที่สุดเมื่อรู้สึกว่า ‘เงินไม่พอใช้’ คือการตั้งสติ อย่าเพิ่งกดดันตัวเองจนเกินไป ต่อไปนี้คือเทคนิคตั้งหลักที่ทำได้ทันที
- จัดลำดับความสำคัญของรายจ่าย เมื่อเงินเริ่มตึงมือ สิ่งแรกที่ควรทำคือวางแผนการใช้เงินแบบละเอียด ลองนั่งลิสต์ดูว่าอะไรคือรายจ่ายที่ ‘จำเป็น’ และอะไรที่ ‘ไม่จำเป็น’ เช่น จำเป็น: ค่าเช่าบ้าน, ค่าน้ำ, ค่าไฟ และค่าอาหาร หรือ ไม่จำเป็น: ซื้อของเล่นใหม่, แก้วกาแฟแฟนซี หรือ ทริปท่องเที่ยว
- ใช้เงินสดแทนบัตรเครดิต การรูดบัตรเครดิตอาจสะดวก แต่ในช่วงที่เงินไม่พอ มันอาจทำให้คุณจมอยู่กับดอกเบี้ยโดยไม่รู้ตัว การใช้เงินสดจะช่วยให้คุณมองเห็นว่ามีเงินอยู่เท่าไหร่ และจำกัดการใช้จ่ายให้อยู่ในงบที่ตั้งไว้
- เจรจาหนี้สินหรือลดดอกเบี้ย หากคุณมีภาระหนี้ เช่น บัตรเครดิต หรือสินเชื่อส่วนบุคคล ลองติดต่อธนาคารเพื่อเจรจาลดดอกเบี้ยหรือปรับโครงสร้างหนี้ หลายครั้งธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน
การปรับตัวเมื่อเงินช็อตไม่ใช่แค่ ‘ลดค่าใช้จ่าย’ แต่ยังต้อง ‘สร้างรายได้เพิ่ม’ และ ‘บริหารเงินให้ฉลาดขึ้น’ มาดูกันว่าคุณสามารถเปลี่ยนชีวิตได้ยังไง
หารายได้เสริมแบบดิจิทัล ยุคนี้โอกาสหาเงินไม่ได้จำกัดแค่การทำงานประจำ ลองใช้เวลาว่างสร้างรายได้เสริม เช่น
- ขายของออนไลน์: เริ่มต้นจากของที่ไม่ใช้ในบ้าน หรือขายของแฮนด์เมด
- ฟรีแลนซ์: หากคุณมีทักษะ เช่น การเขียน กราฟิกดีไซน์ หรือแปลภาษา สามารถรับงานผ่านแพลตฟอร์มได้
- สร้างคอนเทนต์: ลองใช้แพลตฟอร์มอย่าง TikTok หรือ YouTube เพื่อแชร์ไอเดียหรือเรื่องราวที่คุณถนัด ซึ่งอาจต่อยอดเป็นรายได้ในระยะยาว
นิสัยการเงินที่ดีช่วยให้คุณไม่ต้องกลับไปเผชิญปัญหาเงินช็อตซ้ำอีก การแยกบัญชีรายรับรายจ่ายทำให้เห็นภาพรวมการเงินชัดเจน ลดความเสี่ยงใช้เงินเกินตัว ทุกครั้งก่อนใช้จ่ายควรวางแผนและถามตัวเองว่าสิ่งนั้นจำเป็นหรือไม่
เพื่อควบคุมงบประมาณได้ดีขึ้น นอกจากนี้ การใช้ระบบ 50/30/20 แบ่งเงินเป็น 50% สำหรับค่าใช้จ่ายจำเป็น, 30% สำหรับความต้องการส่วนตัว และ 20% สำหรับการออม ช่วยจัดการการเงินอย่างสมดุล
อีกทั้งการลงทุนยังเป็นวิธีทำให้เงินงอกเงย แต่ควรศึกษาและเลือกลงทุนอย่างรอบคอบเพื่อสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคง