Article by Veedvil
ถ้าคุณกำลังจะตกแต่งบ้านใหม่หรือคอนโดใหม่อยู่ล่ะก็ วันนี้เราจะมาแนะนำไอเดียการแต่งบ้านหรือห้องของคุณที่ต่างไปจากไอเดียแต่งบ้านแบบเดิมๆ ซึ่งเราไม่ได้จะมาแนะนำเฟอร์นิเจอร์หรือการ Build-in สไตล์ใหม่ๆแต่อย่างใด แต่เรากำลังจะนำเสนอวิธีการอัพเกรดบ้านหรือห้องของคุณให้มันอัจฉริยะนั่นเอง ฟังดูแล้วอาจจะสงสัยว่าเราทำบ้านอัจฉริยะนั้นจะต้องจ่ายเงินมากขนาดไหนกัน…ไม่ต้องตกใจครับเรามาเริ่มเรียนรู้การอัพเกรดบ้านให้เป็น Smart Home กันจากบทความนี้กันเลย
ทำความรู้จัก Smart Home บ้านอัจฉริยะที่เราสามารถทำกันได้เอง
Smart Home หรืออาจเรียกอีกคำหนึ่งว่า Home Automation นั้นคือการทำให้อุปกรณ์ภายในบ้านถูกควบคลุมได้หรือสั่งงานแบบป้อนคำสั่งล่วงหน้าเขาไปเพื่อให้อุปกรณ์ต่างๆภายในบ้านทำงานได้เองแบบอัตโนมัติตามคำสั่งของเรา ซึ่งแต่เดิมนั้นจะต้องมีการเขียนโปรแกรมลงไปในอุปกรณ์ชิ้นพิเศษแล้วนำไปติดตั้งเพิ่มเติมเข้าไปยังเจ้าอุปกรณ์ที่เราต้องการควบคุมแล้วสั่งงานผ่านคอมพิวเตอร์อีกทีหนึ่ง ซึ่งมักไม่สะดวกและยุ่งยากไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้ภายในบ้านมากนัก แต่ในปัจจุบัน Internet of Things ได้เข้าทำให้ความยุ่งยากเหล่านั้นหายไป และถูกบรรจุลงไปตัวซอฟแวร์ของอุปกรณ์ภายในบ้านยุคใหม่เลย ส่วนการควบคุมหรือการสั่งงานนั้น ก็ถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปแบบของ Application บนมือถือให้ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดลงมาติดตั้งยังโทรศัพท์มือถือจากนั้นก็ทำการ Setting เชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์อัจฉริยะภายในบ้านต่างๆ เช่น หลอดไฟ แอร์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เป็นต้น
ภาพแสดงโครงสร้างการทำงานของอุปกรณ์ Smart Home จากซัมซุง
การวางระบบ Hub ให้กับบ้าน Smart Home
ก่อนที่จะดูว่าอุปกรณ์อัจฉริยะอะไรที่เราคิดว่าจะซื้อมาใช้ภายในบ้านนั้น เราจำเป็นจะต้องทราบเสียก่อนว่าการจะทำบ้านให้เป็นบ้านแบบ Smart Home นั้นเราต้องคำนึงถึงปัจจัยในการในเรื่องของเครือข่ายที่จะใช้ภายในบ้านด้วย ซึ่งเครือข่ายที่ว่านั้นก็คล้ายกับการวางระบบ Wi-Fi อินเตอร์เน็ตภายในบ้านแล้วเราก็เอา มือถือ, คอมพิวเตอร์, Smart TV, Set-top box ต่างๆ ไปเชื่อมต่อไวไฟในบ้านนั่นเอง แต่สำหรับการวางระบบ Smart Home จะมีความแตกต่างออกไปเพราะว่าอุปกรณ์พวกที่จัดอยู่หมวดหมู่ Smart Home นั้นจะมีการจับสัญญาณต่างๆจากตัว Sensor ของอุปกรณ์ไปประมวลผลด้วยแล้วถึงจะต่อเชื่อมกับอินเตอร์เน็ตต่อไป พูดง่ายๆก็คือมันจะไม่ใช่เพียงแค่ต่ออินเตอร์เน็ตได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ระบบเครือข่ายของ Smart Home จะคอยรับส่งสัญญาณอื่นๆเข้ามาด้วย
ดังนั้นการเลือกชุดอุปกรณ์อัจฉริยะใดๆมาใช้ภายในบ้านเราอาจจะต้องเริ่มจากดูว่าระบบหลักภายในบ้านของเราจะใช้ของบริษัทอะไรเป็นหลักซึ่งกรณีนี้เรากำลังพูดถึงการวางโครงสร้างพื้นฐานให้กับอุปกรณ์ Internet of Things ภายในบ้านนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันมีหลายค่ายเริ่มเปิดตัวชุดอุปกรณ์ดังกล่าวออกมาแล้วเช่น Samsung Smart Home หรือย่าง Nest ของกูเกิล เป็นต้น ซึ่งทั้งสองค่ายที่ทำออกมาก็จะมีชุดอุปกรณ์ที่เป็น Hub เป็นพื้นฐานสำหรับรองรับการเชื่อมต่อจากอุปกรณ์ชิ้นอื่นๆ เช่นหลอดไฟเพื่อที่จะสั่งปิด-เปิดไฟจากมือถือหรือตั้งค่าตามเวลา ปลั๊กไฟที่สามารถสั่งตัดสัญญาณไฟฟ้าในแต่ละจุดได้หรือจะดูปริมาณการใช้งานเพื่อคำนวนค่าไฟในแต่ละจุดได้เป็นต้น
ชุดอุปกรณ์ Home Monitoring Kit ของซัมซุง
ระบบ Hub ของบ้านมีความสัมพันธ์กับระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์
หากเราจำการเปิดตัวระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ๆของทาง Apple และ Google เราจะเห็นว่าทั้งสองค่ายมีการเปิดตัวชุดคำสั่งที่มีชื่อว่า Apple HomeKit และ Google Brillo ขึ้นมาเพื่อเปิดให้นักพัฒนาและผู้ผลิตอุปกรณ์อัจฉริยะภายในบ้านนำระบบดังกล่าวไปใช้งาน และเมื่อผู้ผลิตอุปกรณ์เหล่านั้นทำออกมาจำหน่ายก็จะมีการแจ้งด้วยว่าอุปกรณ์ชิ้นนั้นรองรอบการทำงานของระบบไหนบ้างซึ่งก็หมายถึงรองรับ Apple HomeKit หรือ Google Brillo นั่นเอง ดังนั้นเวลาเราจะซื้ออุปกรณ์อัจฉริยะใดๆมาใช้งานถ้ามันมาจากระบบเดียวกันก็แปลว่ามันรองรับคำสั่งของอุปกรณ์ตัวอื่นๆได้ด้วย หรือรองรับคำสั่งควบคุมในชุดเดียวกันนั่นเอง
บริษัทที่มีชื่อในเรื่อง Smart Home Device อย่าง Nest ที่ทางกูเกิลได้ซื้อกิจการไปถือว่าเป็นบริษัทแรกที่มีแนวคิดในลักษณะนี้มาก่อนและปัจุบันก็มีหลายอุปกรณ์ที่ระบุเอาไว้ว่ารองรับระบบ Nest นี้อยู่ด้วย พอมาถึงตรงนี้เราก็เข้าใจแล้วว่าต่อไปเวลาจะซื้ออุปกรณ์อัจฉริยะตัวใดมาใช้เราต้องดูด้วยว่ามันใช้ระบบหลักหรือ Hub กลางของค่ายไหน Apple HomeKit, Android Brillo, Nest หรือจะเป็น Samsung SmartThings เหล่านี้เป็นต้น จากนั้นก็ศึกษาข้อมูลต่อไปอีกว่าระบบนั้นมีการเชื่อมต่อหรือ Integration เข้ากับระบบอะไรต่อไปอีก ยกตัวอย่างเช่นระบบ Apple HomeKit ทำงานร่วมกับ Apple CarPlay ในรถยนต์ได้, Android Brillo และ Nest ทำงานร่วมกับ Android Auto ในรถยนต์ได้อย่างนี้เป็นต้น การศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเหล่านี้ทำให้เราเห็นภาพได้ว่าอุปกรณ์อัจฉริยะและ Hub ที่เราเลือกนั้นจะมีการทำงานสัมพันธ์กันได้อย่างไร ดังตัวอย่างเปรียบเทียบการทำงานร่วมกันของระบบต่างๆด้านล่างนี้
- Apple HomeKit –> Apple CarPlay –> iOS
- Android Brillo –> Android Auto –> Android
- Nest –> Android Auto –> Android
- Samsung SmartThings –> Samsung Devices (Smartphone, Smart TV, Smart Watch, etc..) –> Android
วิดีโออธิบายการทำงานของรถยนต์ Mercedes Benz ที่ระบบความคลุมภายในเชื่อมต่อกับระบบ Nest
เริ่มต้นเลือกชุดอุปกรณ์อัจฉริยะเข้าบ้าน
ในส่วนต่อมาหลังจากเรารู้แล้วว่าเราจะใช้ระบบหลักหรือ Hub ของบ้าน Smart Home เป็นของค่ายไหนหรือบริษัทไหนเป็นตัวหลักแล้ว ต่อไปเวลาที่เราไปเลือกซื้อเครื่องใช้ต่างๆภายในบ้านที่จัดอยู่ใน Smart Home Device มาใช้อย่างเช่น หลอดไฟอัจฉริยะ, เครื่องปรับอากาศอัจฉริยะ, ลำโพงอัจฉริยะ, ตู้เย็นอัจฉริยะ, เครื่องซักผ้าอัจฉริยะ ต่างๆเหล่านี้ เราอาจจะต้องดูด้วยว่าอุปกรณ์อัจฉริยะเหล่านั้นรองรับ Hub หลักของบ้านเราหรือไม่เพื่อง่ายต่อการสั่งงานและควบคลุมมันแบบมีศูนย์กลางที่เดียวกัน
ตัว Hub และอุปกรณ์ Smart Things สำหรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบภายในบ้านของซัมซุง
ส่วนในกรณีที่เราจะซื้ออุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะใดๆ แต่มันดันไม่ได้รองรับ Hub หลักของบ้านเรา เราก็จะต้องดูในเรื่องของการเชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ตในบ้านแทน (ไม่เชื่อมเข้ากับระบบหลักเพื่อรวมศูนย์การควบคุม) ซึ่งในกรณีนี้เรื่องของการควบคุมอาจจะแยกมองแยกออกไปต่างหาก ซึ่งการควบคุมอาจผ่านแอพพลิเคชั่นที่ให้มาใช้งานตรงๆแทน แต่ก็ถือว่าอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นนั้นมันทำงานได้เหมือนกันแต่ควมคลุมแบบแยกออกไปต่างหาก
อุปกรณ์ Smart Home Devices ต่างๆจากหลายแหลายแบรนด์ที่เชื่อมเข้ากับ Hub ของซัมซุง
มาถึงตรงนี้แล้วก็เชื่อว่าคนกลุ่ม The Gen C ของเราคงจะเข้าใจลักษณะการทำงานของอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆภายในบ้านกันแล้ว แต่ไปนี้เราก็จะได้ปรับบ้านธรรมดาให้กลายเป็นบ้านแบบ Smart Home ด้วยตัวของเราเองได้แล้ว และหวังว่าทุกท่านคงสนุกกับการซื้ออุปกรณ์เจ๋งๆเหล่านั้นมาใช้ภายในบ้านเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองอย่างแน่นอน
