การลงทุนใน ไวน์ ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพราะมันเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้เมื่อเวลาผ่านไป และมีความเสี่ยงต่ำกว่าการลงทุนแบบอื่นในช่วงตลาดผันผวน
ไวน์ที่ใช้สำหรับการลงทุนเรียกว่า Investment-Grade Wine หรือไวน์ที่มีศักยภาพในการเพิ่มมูลค่า ซึ่งปกติแล้วจะมาจากแหล่งผลิตที่มีชื่อเสียง เช่น Bordeaux, Burgundy, Napa Valley และ Tuscany โดยต้องเป็นไวน์ที่สามารถบ่มเก็บได้นาน และมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามอายุ ถ้าเปรียบกับสินทรัพย์อื่น ๆ การลงทุนในไวน์ถือเป็น Passion Investment หรือการลงทุนที่ผสมผสานความชอบส่วนตัวเข้ากับโอกาสทำกำไร เช่นเดียวกับการสะสมรถหรู นาฬิกาหายาก หรือกระเป๋าแบรนด์เนม แต่ข้อดีของไวน์คือ ความต้องการในตลาดมีอยู่เสมอ เพราะเมื่อไวน์ถูกเปิดดื่ม จำนวนที่เหลืออยู่ในโลกก็จะลดลง ทำให้ขวดที่เหลือยิ่งหายากและราคาพุ่งขึ้น
ไม่ใช่ไวน์ทุกขวดจะเป็นสินทรัพย์ที่ดีในการลงทุน ถ้าอยากรู้ว่า ไวน์ ขวดไหนมีโอกาสราคาขึ้น ให้ดูที่ปัจจัยเหล่านี้
- แหล่งผลิต และชื่อเสียงของแบรนด์ ไวน์จากแหล่งผลิตชั้นนำ เช่น Bordeaux และ Burgundy ในฝรั่งเศส หรือ Napa Valley ในอเมริกา มักเป็นที่ต้องการของตลาดเสมอ โดยเฉพาะไวน์จากแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับ เช่น Château Margaux, Château Lafite Rothschild, Domaine de la Romanée-Conti (DRC) เป็นต้น
- คะแนนรีวิวจากนักวิจารณ์ไวน์ ไวน์ที่ได้รับคะแนนสูงจากนักวิจารณ์ระดับโลก เช่น Robert Parker, James Suckling หรือ Wine Spectator มีแนวโน้มราคาขึ้นสูงมาก เพราะนักสะสมและนักลงทุนมักอ้างอิงจากคะแนนเหล่านี้
- จำนวนการผลิต (Scarcity Effect) ไวน์ที่ผลิตในจำนวนจำกัด หรือจากไร่องุ่นหายาก มักจะมีราคาสูงขึ้นตามเวลา ยิ่งถ้าเป็นไวน์ที่มีประวัติว่าขายหมดอย่างรวดเร็ว ราคามักพุ่งต่อเนื่อง
- ความสามารถในการบ่ม (Aging Potential) ไวน์บางประเภท เช่น Bordeaux Grand Cru หรือ Burgundy Grand Cru สามารถบ่มเก็บได้นานเป็นสิบ ๆ ปี และรสชาติพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ทำให้ราคาขยับสูงขึ้นตามอายุ
- ดีมานด์จากตลาดโลก ไวน์ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักสะสมและนักดื่มระดับสูง เช่น จีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และยุโรป มีแนวโน้มราคาพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะไวน์ที่ติดอันดับ ‘Must-Have’ ในลิสต์ของนักลงทุน
ไวน์ที่มีแนวโน้มราคาขึ้นมักมาจาก 3 ประเภทหลัก ได้แก่
- Bordeaux Grand Cru ไวน์จากเขต Bordeaux ในฝรั่งเศส โดยเฉพาะ 5 Grand Cru Classé เช่น Château Latour, Château Margaux และ Château Lafite Rothschild เป็นตัวเลือกที่นักลงทุนไวน์ให้ความสนใจมากที่สุด
- Burgundy Grand Cru ไวน์จาก Pinot Noir และ Chardonnay ที่มาจาก Burgundy ถือเป็นไวน์ที่ราคาพุ่งสูงสุดในรอบหลายปี โดยเฉพาะแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Domaine de la Romanée-Conti (DRC)
- Cult Wines จาก Napa Valley และ Italy ไวน์หายากจาก Napa Valley เช่น Screaming Eagle และ Opus One หรือไวน์จากอิตาลี เช่น Barolo และ Super Tuscan อย่าง Sassicaia เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจ เพราะความหายากและคุณภาพสูง
ถ้าอยากลงทุนใน ไวน์ แบบมีหลักการ ไม่ใช่แค่เลือกขวดที่ดูแพง แนะนำให้ใช้ 4 วิธีนี้
- เช็กรีวิวและคะแนนจากนักวิจารณ์ไวน์ ก่อนซื้อไวน์สำหรับลงทุน ควรดูคะแนนจาก Wine Advocate, Wine Spectator หรือ James Suckling ไวน์ที่ได้คะแนนสูงมักมีโอกาสราคาขึ้น
- ดูชื่อเสียงของไร่องุ่นและแหล่งผลิต ไวน์จากแหล่งผลิตระดับท็อป เช่น Bordeaux, Burgundy, Tuscany และ Napa Valley มักมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
- พิจารณาจำนวนการผลิต ไวน์ที่ผลิตในปริมาณจำกัด หรือมีการจัดสรรให้กับลูกค้าพิเศษเท่านั้น มักมีราคาสูงขึ้นตามเวลา
- เลือกปีวินเทจที่ดีที่สุด บางปีที่สภาพอากาศเหมาะสม จะให้ผลผลิตองุ่นที่มีคุณภาพสูงสุด เช่น Bordeaux ปี 2000, 2005, 2010 หรือ Burgundy ปี 2015 ทำให้ไวน์จากปีเหล่านี้เป็นที่ต้องการมากขึ้น