ขนมหวาน ของที่ขาดไม่ได้ในทุกมื้ออาหารของไทย
ขนมหวานเป็นอาหารชนิดหนึ่งที่ขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติออกหวาน และให้ความรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่ได้ลิ้มลอง การได้ทานของหวานสามารถสร้างความผ่อนคลาย ทำให้เป็นอาหารตบท้ายหลังอาหารคาวที่สมบูรณ์แบบ หรือเป็นของขบเคี้ยวที่สดชื่นในระหว่างวัน การเสิร์ฟของหวานปิดมื้ออาหารหลักหรือการทานในมื้อว่าง มักจะทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจ มีความสุข ซึ่งปกติแล้วขนมจะถูกทานหลังอาหารในเวลาที่สะดวกสำหรับแต่ละคน พร้อมการมีของหวานให้เลือกมากมาย หลายรสชาติ หลากสไตล์ ที่พร้อมให้คุณได้ลิ้มลองรสชาติกันอย่างไม่มีเบื่อ
5 ขนมไทยโบราณ สูตรดั้งเดิมที่ไม่ได้มีดีแค่รสชาติ แต่หน้าตาก็สวยงามสมมง!
เมนูของหวานไทยโบราณในวังแบบดั้งเดิม ต้องอาศัยฝีมืออันแสนประณีต การตกแต่งที่ใช้ฝีมือผู้มีความชำนาญเท่านั้น และการจัดวางอย่างตั้งใจ เพื่อแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของขนมไทยแต่ละประเภท จึงไม่เพียงแต่รสชาติที่แสนอร่อยเท่านั้นแต่ต้องดูสวยงาม จึงต้องใช้ความทุ่มเทและเวลา เพื่อทำให้แต่ละชิ้นออกมาสมบูรณ์แบบ พร้อมการสร้างสรรค์ขนมหวานสไตล์ไทยที่ให้ความสวย ความอร่อย และความเป็นมงคลในเวลาเดียวกัน จึงขอแนะนำ 5 เมนูขนมโบราณของไทยสูตรดั้งเดิมที่ยังคงได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน คือ
1.ทองเอก
ขนมหวานสีเหลืองทองสวยงาม ด้านบนจะประดับด้วยแผ่นทองคำเปลว ทำให้ไม่เพียงแต่ดูน่ารับประทานเท่านั้น แต่ยังชวนให้ลิ้มลองด้วยรสชาติที่หวานอย่างเป็นเอกลักษณ์ ขนมไทยโบราณในวังประเภทนี้เรียกกันว่าขนมทองเอก ซึ่งหาซื้อได้ง่ายในปัจจุบัน จะถูกใช้ในงานพิธีมงคลต่าง ๆ เนื่องจากมีชื่อที่มีความหมายดี มีการออกแบบที่ประณีต และมีลักษณะที่วิจิตรบรรจง ความสำคัญของขนมนี้อยู่ที่การเป็นตัวแทนความเป็นเอกลักษณ์ การเป็นตัวเลือกอันดับแรกที่สื่อถึงความเจริญรุ่งเรืองและความสำเร็จสมหวังดั่งใจ
2.บุหลันดั้นเมฆ
ของหวานที่หาได้ยากที่สุดประเภทหนึ่งในวัง คือ ขนมสีฟ้าทำจากดอกอัญชัน ตรงกลางเป็นสีเหลืองทำจากไข่เป็ด นอกจากรสชาติจะเข้มข้น หวานและอร่อยแล้ว ในอดีตยังนิยมใช้เป็นขนมหวานทำนายดวงเกี่ยวกับงานมงคลอีกด้วย ซึ่งที่ว่ามานี้คือขนมบุหลันดั้นเมฆ เชื่อกันว่าหากใครทำขนมประเภทนี้แล้วหย่อนตรงกลางด้วยสีเหลืองลงไป เมื่อนึ่งจะออกมาเป็นรูปร่างคล้ายพระจันทร์ จะบ่งบอกถึงโชคลาภในการงาน แต่ถ้าออกมาเป็นรูปร่างไม่สวยงาม จะบ่งบอกถึงโชคร้าย
3.เสน่ห์จันทร์
ขนมไทยมงคลที่มักพบเห็นกันได้ทั่วไปในปัจจุบัน คือ เสน่ห์จันทร์ ซึ่งมีลักษณะทรงกลมสีเหลืองคล้ายพระจันทร์ ขนมไทยโบราณชนิดนี้มีกลิ่นหอมหวาน ทำจากผลไม้สุกสีเหลืองซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบนี้ ในสมัยโบราณผู้คนนำผลไม้ชนิดนี้มาทำขนมหวานมงคล โดยด้านบนจะมีลูกกลม ๆ สีน้ำตาล ทำจากน้ำตาลโตนดที่ผ่านการรมควันด้วยธูปจนมีกลิ่นหอม ขนมโบราณเสน่ห์จันทร์ ถือเป็นขนมมงคล 1 ใน 9 ชนิด ที่เชื่อว่าจะนำพาโชคลาภ เสน่ห์ ความรัก ความชื่นชมมาให้ผู้ทาน จึงมักนิยมนำมาใช้ในพิธีแต่งงาน
4.ขนมพระพาย
ขนมพระพาย เป็นขนมประจำวังอีกชนิดที่หาทานได้ยาก ไส้ขนมเป็นถั่วลิสงบด ห่อด้วยแป้งข้าวเหนียว ทำให้ขนมมีเนื้อนุ่มหนึบ ความหวานตัดกันกับกะทิ เติมรสเค็มมันเข้าไปจะเพิ่มความอร่อยกลมกล่อม ในอดีตขนมพระพายถือเป็นขนมมงคลที่จะเสิร์ฟเฉพาะในงานแต่งงานเท่านั้น เนื้อขนมหวานที่นุ่มละมุนและหนึบหนับ สื่อถึงความรักที่แน่นแฟ้นและยั่งยืนระหว่างเจ้าบ่าวเจ้าสาว เป็นตัวแทนของความรักที่ลึกซึ้ง มีความยืดหยุ่นต่อกัน
5.ขนมหม้อตาล
เชื่อกันว่าขนมหม้อตาล เป็นขนมพื้นบ้านของชาววังอีกชนิดหนึ่งที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคย เนื่องจากปัจจุบันหาทานได้ยาก เพราะมีขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบและการทำที่ค่อนข้างซับซ้อน ใช้เวลานาน ในอดีตขนมชนิดนี้มักใช้ในงานพิธีการต่าง ๆ และเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าขนมหม้อเงิน ขนมหม้อทอง เนื่องจากมีลักษณะคล้ายหม้อดินขนาดเล็ก ขนมหม้อตาลด้านในมีสีสันสวยงาม มาจากน้ำตาลที่ใช้ทำขนมหวาน รสชาติของขนมชนิดนี้มีความกรอบและหวานอย่างลงตัว จึงถือเป็นขนมหายากที่เหมาะสำหรับชนชั้นสูงในอดีต
แนะนำ 5 เมนูของหวานง่ายๆ ทําเอง ทำขายหรือทำกินเอง ก็รสชาติดีไม่แพ้กัน
ไม่ว่าจะเป็นวันไหน ๆ สิ่งหนึ่งที่คนไทยขาดไม่ได้เลยก็คือขนมหวาน เพราะรสชาติที่ดึงดูดใจคนทุกเพศทุกวัย โดยใช้วัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่นมาทำเป็นขนมแสนอร่อยที่ใคร ๆ ก็ชื่นชอบ จึงได้รวบรวมสูตรขนมหวานยอดนิยม 5 สูตรเมนูของหวานง่ายๆ ทําเองที่เหมาะสำหรับทำกินเองที่บ้าน หรือขายเป็นรายได้เสริมก็ได้ราคาดี ดังนี้
1.สังขยาฟักทอง
สังขยาฟักทองเป็นขนมหวานไทยยอดนิยมที่มีรสชาติอร่อย ให้คุณค่าทางสารอาหาร จึงขอแนะนำสูตรการทำขนมชนิดนี้ ด้วยส่วนผสมที่ต้องเตรียม คือ
- ฟักทองลูกเล็ก 2 ลูก น้ำหนักลูกละไม่เกิน 1 กิโลกรัม
- กะทิ
- น้ำตาลปี๊บ
- ไข่ไก่ 3 ฟอง
- ไข่เป็ด 3 ฟอง
- ใบเตย 5 ใบ
- เกลือเล็กน้อย
วิธีเตรียมฟักทอง ให้ใช้มีดเจาะรูเป็นวงกลมหรือสี่เหลี่ยมที่ด้านบน จากนั้นคว้านเมล็ดและเนื้อฟักทองออก ล้างฟักทองและเช็ดให้แห้ง ผสมกะทิ น้ำตาลมะพร้าว ไข่ที่ตีแล้ว และเกลือเข้าด้วยกัน ใช้ใบเตยปั่นรวมส่วนผสมให้เข้ากัน กรองใบเตยออกแล้วเทใส่ฟักทอง สูตรนี้จะใช้กับฟักทอง 2 ลูก โดยนึ่งฟักทองในน้ำเดือดด้วยไฟอ่อนประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วตรวจดูทุก 20 นาที เมื่อฟักทองสุกแล้ว ปล่อยให้ฟักทองเย็นลงก่อนหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เนื้อจะสังขยาจะเนียนละเอียดน่าทานมาก จากนั้นก็เพลิดเพลินกับขนมหวานแสนอร่อยนี้ที่รับรองว่าจะต้องถูกใจคุณอย่างแน่นอน
2.วุ้นกะทิใบเตย
วุ้นกะทิใบเตยเป็นขนมหวานแบบดั้งเดิมที่ยังคงมีเสน่ห์คลาสสิก ทำง่าย ขายดี สูตรนี้จึงมาพร้อมคำแนะนำวิธีทำวุ้นกะทิและวุ้นใบเตย ซึ่งสามารถเสิร์ฟในแม่พิมพ์ที่สวยงามตามแบบที่คุณต้องการได้ รอจนวุ้นแข็งตัวแล้วก็เพลิดเพลินไปกับรสชาติเมนูของหวานอันน่าลิ้มลองนี้ได้เลย โดยมีส่วนผสมสำหรับทำวุ้นใบเตย ดังนี้
- น้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง เติมกลิ่นใบเตย 1 ช้อนชา
- ผงวุ้นใบเตย 1 ช้อนโต๊ะ และ 2 ช้อนชา
- น้ำใบเตยเข้มข้นครึ่งถ้วย
- น้ำตาล 1 ถ้วยตวง
ส่วนผสมสำหรับทำวุ้นมะพร้าว
- กะทิ 2 ถ้วยครึ่ง
- ผงวุ้น 1 ช้อนโต๊ะ และ 2 ช้อนชา
- น้ำตาลครึ่งถ้วย
- เกลือป่นเล็กน้อย
วิธีทำวุ้นใบเตยให้เริ่มจากใส่น้ำและผงวุ้นลงในหม้อ คนผงวุ้นให้เข้ากันเพื่อไม่ให้เป็นก้อน พักไว้สักครู่ จากนั้นนำไปตั้งบนไฟอ่อนปานกลาง คนตลอดเวลาจนผงวุ้นเดือดและผงวุ้นละลายหมด จากนั้นใส่น้ำตาลลงไป คนจนผงวุ้นละลายหมดเช่นกัน จากนั้นให้ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- เทน้ำใบเตยลงในส่วนผสม คนจนเข้ากัน รอจนน้ำใบเตยเดือดอีกครั้ง จากนั้นปิดไฟ ยกลงจากเตา กรองส่วนผสม แล้วปล่อยทิ้งไว้จนเย็น
- เทส่วนผสมวุ้นใบเตยลงในแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้ โดยใส่ให้เต็มประมาณครึ่งหนึ่ง นำไปแช่ในตู้เย็นจนเริ่มแข็งตัว
- ทำวุ้นกะทิด้วยการเทกะทิลงในหม้อแล้วใส่ผงวุ้นลงไป คนจนผงวุ้นกระจายตัวทั่วกัน ตั้งหม้อบนไฟอ่อนปานกลาง คนจนผงวุ้นละลายและกะทิเริ่มเดือด จากนั้นใส่น้ำตาลลงไป คนจนละลาย ปิดไฟแล้วพักไว้ให้เย็นลง
- ตักส่วนผสมวุ้นกะทิใส่แม่พิมพ์บนวุ้นใบเตยจนเต็ม แล้วตรวจดูให้แน่ใจว่าวุ้นใบเตยอยู่ก้นแม่พิมพ์แล้ว จากนั้นแช่เย็นวุ้นจนแข็งตัว แล้วนำออกจากแม่พิมพ์พร้อมเสิร์ฟได้เลย
3.กล้วยเชื่อมแดง
ขนมหวานไทยโบราณที่ถือว่าหาทานได้ยากแล้วในปัจจุบัน คือ กล้วยแดงในน้ำเชื่อม ให้แช่กล้วยแดงสุกในน้ำปูนใสหรือน้ำเกลือ จากนั้นเคี่ยวกล้วยในน้ำเชื่อมจนมีสีแดงสวยงาม ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลานาน แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือขนมที่สวยและอร่อย มีส่วนผสมสำหรับกล้วยเชื่อแดง ดังนี้
- กล้วยแดงสุก 8-10 ลูก
- น้ำปูนใส สำหรับแช่กล้วย หากไม่มีน้ำปูนใส สามารถใช้น้ำเปล่าผสมเกลือแทนได้
- น้ำ 3 ถ้วย
- ใบเตย 3 ใบ
- น้ำตาลโตนด
- น้ำตาลทรายแดง
- น้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ
วิธีทำกล้วยเชื่อมแดง เริ่มจากปอกเปลือกกล้วยแล้วหั่นเป็น 4 ชิ้น แช่กล้วยในน้ำผสมปูนขาว หรือน้ำผสมเกลือ ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง เมื่อครบเวลาแล้วให้ล้างให้สะอาดเพื่อดับกลิ่นปูนขาว ใส่น้ำ ใบเตย น้ำตาลมะพร้าว และน้ำตาลทรายลงในหม้อ ตั้งไฟให้เดือดแล้วใส่กล้วยหอมแดงลงไป จากนั้นเติมน้ำมะนาวลงไปแล้วเคี่ยวต่อด้วยไฟอ่อน ประมาณ 2 ชั่วโมง หรือรอจนกล้วยสุกออกเป็นสีแดง จากนั้นพักให้อุ่นแล้วเสิร์ฟในจานพร้อมรับประทานอย่างอร่อย
4.ลอดช่องน้ำกะทิ
ลอดช่องน้ำกะทิแสนอร่อยโดยใช้สูตรทำเส้นลอดช่องที่มีความนุ่มหนึบ และให้ความสวยงามที่ดูเป็นธรรมชาติ ขนมหวานรับประทานคู่กับน้ำกะทิ รวมถึงน้ำแข็งแล้วให้ความสดชื่นมาก โดยมีส่วนผสมสำหรับทำเส้นลอดช่อง ดังนี้
- ใบเตยหั่นละเอียด ประมาณ 450 กรัม
- น้ำเปล่า 10 ถ้วย
- แป้งข้าวเหนียว 3 ถ้วย
- แป้งมันสำปะหลัง 1 ถ้วย
- แป้งถั่วเขียว
- น้ำเย็น
- น้ำแข็งบด
ส่วนผสมสำหรับทำน้ำกะทิหอมอร่อย
- น้ำตาลมะพร้าว 4 ถ้วย
- เกลือ 1 ช้อนชา
- กะทิ 5 ถ้วย
วิธีทำลอดช่องน้กะทิแสนอร่อย รสชาติหิมหวานสดชื่น เริ่มจาก
- เตรียมน้ำกะทิ ด้วยการผสมน้ำตาลมะพร้าว เกลือ และกะทิในชามผสม ใช้มือคนส่วนผสมให้เข้ากันจนน้ำตาลมะพร้าวละลายแล้วกรองส่วนผสมผ่านตะแกรง
- ตั้งกะทิบนไฟปานกลางจนเกือบเดือด โดยต้องต้มส่วนผสมให้เดือดเฉพาะตรงกลางเท่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้จับกันเป็นก้อน แล้วต้มประมาณ 10-15 นาที จากนั้นยกลงจากเตา พักไว้ให้เย็น
- ปั่นใบเตยกับน้ำเปล่าในเครื่องปั่น แล้วกรองเพื่อแยกของเหลวออก จากนั้นพักไว้
- ค่อย ๆ ใส่แป้งข้าวเหนียว แป้งมันสำปะหลัง และแป้งถั่วเขียวลงในน้ำใบเตย ปล่อยให้แป้งจมลงไปทีละน้อยจนจมลงไปทั้งหมด เมื่อแป้งจมลงหมดแล้ว ให้ค่อย ๆ ผสมจนเข้ากันแล้วกรองผ่านตะแกรง
- เทส่วนผสมลงในหม้อลึกใบใหญ่ ตั้งไฟกลาง คนตลอดเวลาประมาณ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมง จนส่วนผสมข้นขึ้น แล้วค่อย ๆ เติมน้ำใบเตยที่เหลือลงไป คนจนข้นและใสขึ้น
- ตักส่วนผสมใส่เครื่องกดเส้น แล้วกดส่วนผสมให้เป็นเส้นในน้ำเย็น นำเส้นขึ้นจากน้ำแล้วใส่ในชาม ตามด้วยกะทิที่เตรียมไว้และน้ำแข็ง จากนั้นก็พร้อมเสิร์ฟทันที
5.ลูกตาลลอยแก้ว
ขนมหวาน ลูกตาลลอยแก้ว ทำได้ง่ายมาก เพียงแค่หั่นลูกตาลปอกเปลือกแล้วเป็นชิ้น ๆ แล้วนำไปต้มในน้ำเชื่อมเดือด หรือจะใส่เครื่องเคียงที่ชอบอย่างขนุนลงไปก็ได้ จะเพิ่มรสชาติอร่อยมากขึ้น โดยส่วนผสมสำหรับขนมไทยง่ายๆ อย่างลูกตาลลอยแก้ว คือ
- ลูกตาลสด 1 ถุง นำมาหั่นตามแนวยาว
- น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยครึ่ง
- น้ำสะอาด 3 ถ้วย
- ใบเตย 5 ใบ
วิธีทำลูกตาลลอยแก้ว ให้ผสมน้ำสะอาด น้ำตาลทราย และใบเตย นำไปต้มจนเดือดใส่ลูกตาลหั่นบางลงไป ปล่อยให้เดือดอีกครั้ง ปิดไฟแล้วตักใส่ชาม พักไว้ให้เย็น เท่านี้ก็พร้อมเสิร์ฟอย่างอร่อย
ขนมหวานของไทยให้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ หน้าตาสวยงาม ชื่อเป็นมงคล
ขนมหวานไทยมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในรายละเอียดและการเลือกวัตถุดิบ วิธีการเตรียมและการทำมีความพิถีพิถัน จึงได้มาซึ่งรสชาติที่อร่อยและหอมกรุ่น สีสันสวยงาม การจัดวางที่น่ารับประทาน ชื่ออันเป็นมงคล และเทคนิคการทำให้อร่อยที่ไม่มีใครเหมือน พร้อมการได้นำประเพณีการทำอาหารจากวัฒนธรรมต่าง ๆ มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับวัตถุดิบ เครื่องมือ และวิธีการบริโภคในท้องถิ่น ส่งผลให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะของขนมไทย โดยผสมผสานระหว่างการสร้างสรรค์ของไทยแท้และการปรับตัวของวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่ร่วมกันได้อย่างลงตัว