รู้ทันวิธีลดหย่อนภาษี เพิ่มโอกาสประหยัดและวางแผนการเงินได้ดีขึ้น
วางแผนการเงินในปี 2567-2568 ไม่ได้เป็นเรื่องยากอย่างที่คิด! เมื่อคุณรู้จักวิธีลดหย่อนภาษีที่มีให้เลือกใช้หลายรูปแบบ ปีนี้มีการปรับเปลี่ยนข้อกำหนดและวิธีการลดภาษีใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถประหยัดภาษีได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้สิทธิ์ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นต่าง ๆ ซึ่งการเข้าใจวิธีลดหย่อนภาษี 2567 บุคคลธรรมดา จะช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้ดีขึ้น และเพิ่มโอกาสในการประหยัดภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ
แนะนำ 12 วิธีลดหย่อนภาษีที่คุณควรรู้! เพื่อประหยัดมากขึ้น ก่อนส่งภาษีในปี 2567
ลดหย่อนภาษี 2567 การเสียภาษีเป็นสิ่งที่ประชาชนชาวไทยที่มีรายได้และผู้ประกอบการ ควรต้องทำทุกปี! แต่ถ้าคุณรู้วิธีลดหย่อนภาษีอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ก็สามารถประหยัดภาษีลงได้ไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับปี 2567 นี้มีหลายวิธีที่คุณสามารถใช้ลดภาษี ตรวจสอบการยื่นภาษี เพื่อเพิ่มโอกาสในการประหยัดและวางแผนการเงินที่ดีขึ้น ดังนั้น ลองมาดูกันว่า 12 วิธีลดภาษีที่คุณควรรู้! ดังนี้
1.ค่าลดหย่อนค่าใช้จ่ายส่วนตัวและคู่สมรส
ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัว ตามกฎหมายกำหนดให้ผู้เสียภาษีสามารถใช้ได้ปีละ 60,000 บาท ซึ่งสามารถใช้สิทธิ์นี้ได้ทันที เมื่อยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ผ่านแบบ ภ.ง.ด. 90 หรือ ภ.ง.ด. 91 โดยหากยื่นภาษีทางออนไลน์ ระบบจะทำการเพิ่มรายการลดหย่อนส่วนตัวให้อัตโนมัติ หากใช้สิทธิลดหย่อนคู่สมรส สามารถลดหย่อนให้ได้สูงสุด 1 คน ซึ่งคู่สมรสต้องจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น และฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องไม่มีรายได้ในปีนั้น หากทั้งคู่มีรายได้ สามารถยื่นภาษีรวมและใช้สิทธิลดหย่อนร่วมกันได้เลย
2.ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับบุตร
การลดหย่อนภาษีสำหรับบุตร สามารถใช้ได้คนละ 30,000 บาท โดยจะต้องเป็นบุตรตามกฎหมายหรือลูกบุญธรรมที่มีการจดทะเบียนรับรองเป็นบุตรบุญธรรมมาแล้ว ต้องมีอายุไม่เกิน 20 ปี หรือไม่เกิน 25 ปี หากกำลังศึกษาอยู่ แต่หากบุตรอายุเกิน 25 ปี แต่มีสถานะเป็นบุคคลไร้ความสามารถก็สามารถใช้สิทธิได้ สำหรับบุตรคนที่ 2 ขึ้นไป ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป สามารถลดหย่อนได้คนละ 60,000 บาท กรณีที่มีบุตรชอบด้วยกฎหมายสามารถลดหย่อนได้ตามจำนวนบุตรจริง แต่หากเป็นบุตรบุญธรรมสามารถลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท สูงสุดได้ 3 คน ส่วนกรณีที่มีทั้งบุตรชอบด้วยกฎหมายและบุตรบุญธรรม ให้ใช้สิทธิลดหย่อนสำหรับบุตรชอบด้วยกฎหมายก่อน และหากบุตรบุญธรรมเป็นคนที่ 4 จะไม่สามารถลดหย่อนได้ แต่ถ้าอยู่ในลำดับ 1-3 จึงจะสามารถใช้สิทธิได้
3.ค่าลดหย่อนของบิดามารดา
การลดหย่อนสำหรับการเลี้ยงดูบิดามารดาของผู้ยื่นลดหย่อนและของคู่สมรส สามารถใช้ได้คนละ 30,000 บาท โดยสามารถใช้สิทธิ์ได้สูงสุด 4 คน ซึ่งหมายความว่าสูงสุดจะลดหย่อนได้ไม่เกิน 120,000 บาท และต้องไม่ใช่พ่อแม่บุญธรรม เพื่อใช้สิทธิ์นี้ โดยบิดามารดาต้องมีอายุมากกว่า 60 ปี และมีรายได้ต่อปีไม่เกินกว่า 30,000 บาท นอกจากนี้ การลดหย่อนรูปแบบนี้ไม่สามารถใช้สิทธิ์ซ้ำกันระหว่างพี่และน้องอีกด้วย
4.ค่าลดหย่อนผู้พิการ
สำหรับการอุปการะผู้พิการหรือบุคคลทุพลภาพ สามารถทำได้ในจำนวน 60,000 บาทต่อคน โดยผู้พิการต้องมีรายได้ไม่เกินกว่า 30,000 บาทต่อปี และต้องมีบัตรประจำตัวผู้พิการ พร้อมหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะให้ถูกต้อง หากผู้พิการเป็นบิดามารดา บุตร หรือคู่สมรสของผู้เสียภาษี สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ทั้ง 2 ส่วน เช่น หากคู่สมรสไม่มีรายได้และเป็นผู้พิการ ผู้เสียภาษีสามารถลดหย่อนได้รวมสูงสุด 120,000 บาท หรือ 60,000 บาท สำหรับคู่สมรส และ 60,000 บาทสำหรับการอุปการะผู้พิการนั่นเอง
5.ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร
ค่าลดหย่อนสำหรับการฝากครรภ์และคลอดบุตร สามารถใช้ได้กับจำนวนที่จ่ายจริง สำหรับการรักษาครรภ์และคลอดในสถานพยาบาลของทั้งรัฐและเอกชน โดยจะต้องไม่เกิน 60,000 บาทต่อการตั้งครรภ์ หากตั้งครรภ์ลูกแฝดจะนับเป็นครรภ์เดียวเท่านั้น หรือหากทั้งคู่สามีและภรรยายื่นภาษีร่วมกัน สิทธิลดหย่อนนี้จะเป็นของภรรยาเท่านั้น แต่หากภรรยาไม่มีรายได้ สามีก็สามารถใช้สิทธิในการลดหย่อนแทนได้เช่นกัน
6.ค่าลดหย่อนประกันสังคม
เงินประกันสังคมที่จ่าย สามารถนำมาลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง โดยไม่เกิน 9,000 บาทต่อปี สำหรับผู้ที่ทำงานและมีการหักเงินประกันสังคมจากรายได้ โดยจะรวมถึงส่วนที่นายจ้างหักและที่ผู้ประกันตนจ่ายเอง เงินประกันสังคมที่จ่ายจะช่วยลดฐานภาษีได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการลดภาระภาษีที่ต้องชำระในปีนั้น ๆ
7.กองทุนรวมเพื่อการลงทุน (SSF / RMF)
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF : Retirement Mutual Fund) เป็นเครื่องมือการลงทุนที่ช่วยในการเตรียมตัวสำหรับการเกษียณ โดยสามารถลดภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริง โดยไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี การลงทุนในกองทุน RMF จะช่วยลดภาระภาษีในระยะยาว และยังช่วยสร้างเงินออมสำหรับอนาคตของผู้ลงทุน ในขณะที่กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF : Super Saving Funds) เป็นอีกทางเลือกในการลงทุนระยะยาว โดยสามารถลดภาษีได้ 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทต่อปี ช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถออมเงินและได้รับสิทธิ์ลดภาษีในระยะยาว
8.ประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์
เบี้ยประกันชีวิตและประกันแบบสะสมทรัพย์ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามจ่ายจริง โดยสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท แต่ต้องมีเงื่อนไขบางประการเพื่อใช้สิทธินี้ได้ โดยต้องทำประกันกับบริษัทประกันชีวิตที่จดทะเบียนในประเทศไทย และกรมธรรม์ต้องมีระยะเวลาคุ้มครองไม่น้อยกว่า 10 ปี หากมีการยกเลิกกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี จะถือว่าไม่สามารถใช้สิทธิลดภาษีได้ เนื่องจากไม่เป็นไปตามข้อกำหนดที่ตั้งไว้
9.ประกันอุบัติเหตุที่คุ้มครองสุขภาพ
เบี้ยประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุ ที่ครอบคลุมการรักษาพยาบาลสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนจ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์แล้ว จะต้องไม่เกิน 100,000 บาท โดยผู้ที่ชำระเบี้ยประกันจะได้รับสิทธิ์ลดภาษีในจำนวนที่จ่ายจริงตามเงื่อนไขที่กำหนด ข้อควรระวัง คือ จำนวนเบี้ยประกันทั้งหมดในหมวดนี้ จะต้องไม่เกินข้อกำหนดเพื่อใช้สิทธิ์ลดภาษีได้อย่างเต็มที่
10.กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund)
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) เป็นหนึ่งในวิธีลดภาษีที่ช่วยให้คุณประหยัดภาษีได้มากขึ้น โดยการสมทบเงินในกองทุนนี้ สามารถลดภาษีได้สูงสุดถึง 15% ของรายได้ประจำปี หรือไม่เกิน 500,000 บาท ซึ่งการสมทบเงินนี้จะช่วยให้คุณมีเงินเก็บในระยะยาว ในขณะเดียวกันก็ลดภาระภาษีได้ตามจำนวนเงินที่สมทบ สำหรับเรทภาษีปีล่าสุด การคิดภาษีจะเริ่มต้นที่ 5% สำหรับรายได้ไม่เกิน 150,000 บาท และเพิ่มขึ้นตามขั้นตอนจนถึง 35% สำหรับรายได้ที่สูงกว่า 5,000,000 บาท
11.ค่าบริจาคการกุศล (Charitable Donations)
เงินบริจาคทั่วไปสามารถนำมาลดหย่อนได้ตามจำนวนจ่ายจริงเท่านั้น แต่จะไม่เกิน 10% ของรายได้ หลังจากหักค่าลดหย่อนภาษีแล้ว สำหรับเงินบริจาคที่ใช้เพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม หรือสถานพยาบาลของรัฐ จะสามารถลดหย่อนได้ถึง 2 เท่า ของจำนวนที่บริจาคจริง แต่ไม่เกิน 10% ของรายได้หลังจากหักค่าลดภาษี การบริจาคให้กับพรรคการเมืองก็สามารถลดหย่อนได้เช่นกัน แต่จำนวนเงินที่สามารถลดหย่อนจะไม่เกินที่ 10,000 บาท โดยการบริจาคเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว ต้องทำตามเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อให้สามารถนำมาหักลดภาษีได้อย่างถูกต้องและเต็มจำนวน
12.ค่าลดหย่อนด้านกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
การใช้ใบเสร็จรับเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Receipt และใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Tax Invoice สำหรับการซื้อสินค้าและบริการที่มี VAT รวมถึงสินค้า OTOP และหนังสือ รวมถึง E-Book สามารถลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 50,000 บาท สำหรับการซื้อระหว่างวันที่ 1 มกราคม – 15 กุมภาพันธ์ 2567 ในกรณีเที่ยวเมืองรอง ปี 2567 สามารถลดภาษีได้ไม่เกิน 15,000 บาท ตามที่จ่ายจริงสำหรับการท่องเที่ยวใน 55 จังหวัดรอง ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม – 30 พฤศจิกายน 2567 แต่ต้องรอประกาศทางภาครัฐ ส่วนดอกเบี้ยจากการกู้เงินซื้อบ้าน สามารถลดหย่อนได้ตามจ่ายจริง สูงสุด 100,000 บาท และค่าก่อสร้างบ้านใหม่ในปี 2567-2568 สามารถลดหย่อนได้ 10,000 บาท ต่อการก่อสร้าง 1 ล้านบาท สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยจำกัดการก่อสร้างไม่เกิน 1 หลังเท่านั้น
กรณีการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับบุคคลธรรมดา ในปี 2567
หากผู้มีเงินได้เป็นผู้พิการและมีบัตรประจำตัวคนพิการ ตามกฎหมายส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทยและมีอายุไม่เกิน 65 ปี จะได้รับยกเว้นภาษีในส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาทในปีภาษีนั้น สำหรับผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปในปีภาษี จะได้รับยกเว้นเงินได้ในส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาทในปีภาษีนั้นเช่นกัน รวมถึงผู้ที่ลงทุนในหุ้นและได้รับเงินปันผล สามารถใช้เครดิตภาษีเงินปันผล เพื่อยกเว้นภาษีตามสัดส่วนที่ได้รับจากเงินปันผล
เตรียมตัวลดหย่อนภาษีง่าย ๆ ผ่านระบบออนไลน์ ขั้นตอนที่คุณไม่ควรพลาดในปี 2567
การลดหย่อนภาษีในปี 2567 ผ่านระบบออนไลน์ง่ายกว่าที่เคย! เริ่มต้นด้วยการเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เช่น ใบเสร็จรับเงิน ค่าลดหย่อน และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ตรวจสอบการยื่นภาษีออนไลน์ จากนั้นเข้าสู่เว็บไซต์กรมสรรพากร (www.rd.go.th) เพื่อกรอกข้อมูลภาษีและยื่นคำขอลดหย่อนออนไลน์ ในระบบ E-Filing ขั้นตอนถัดไปคือการเลือกประเภทของการลดหย่อนที่คุณต้องการ และอย่าลืมตรวจสอบให้ครบถ้วน พร้อมทำการยื่นภาษีให้เสร็จสิ้น หลังจากยื่นเสร็จ คุณจะได้รับเอกสารยืนยันการยื่นภาษี และสามารถตรวจสอบผลการลดหย่อนภาษีได้ทันทีผ่านระบบออนไลน์ จึงช่วยประหยัดเวลาและลดความยุ่งยากในการยื่นภาษีได้อย่างมาก!