Article by Dooddot
Morning person คือคำที่ใช้เรียกกลุ่มคนที่ตื่นแต่เช้า มีความกระตือรื้อร้นที่จะทำงานแต่เช้า และทำงานได้ดี เพราะการตื่นเช้าจะทำให้สมองสดชื่น และได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า และออกไปค้นหาสิ่งที่เราต้องการพร้อมกับ Passion ที่ทำให้ชีวิตมีความหมาย #livewithpassion เชื่อว่าสำหรับใครหลายคนการตื่นเช้านับว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากลำบาก แม้จะอยากตื่นแค่ไหนแต่กว่าจะลุกออกจากที่นอนได้แทบจะต้องใช้พลังที่มีจนเกือบหมดตัว เราจึงมีเคล็ดลับดีๆ ที่จะเปลี่ยนจากคนขี้เซาให้กลายเป็น Morning Person ได้แบบชิลล์ๆ
ให้เหตุผลกับตัวเองว่าทำไมต้องตื่นเช้า
ก่อนที่จะเริ่มการสร้างนิสัยใหม่นี้ ให้ถามตัวเองก่อนว่าทำไมคุณต้องการจะเป็น Morning person คุณต้องการที่จะใช้ช่วงเวลาพิเศษเพื่อจะทำงานโปรเจ็คท์งานสำคัญส่วนตัวอะไรรึเปล่า? เช่น เขียนบทหนัง อะไรทำนองนี้? คุณมีเป้าหมายเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน คุณจึงต้องรีบเข้าออฟฟิศแต่เช้างั้นหรือ? เพื่อให้คุณรู้สึกภูมิพอใจตัวเองใช่มั้ย? เหตุผลทั้งหมดที่ว่ามาล้วนฟังดูเข้าท่า แต่การระบุเหตุผลให้หนักแน่นว่าตัวเองกำลังทำไรอยู่และย้ำเตือนตัวเองถึงสิ่งนั้น จะสร้างแรงกระตุ้นในยามเช้าของคุณเมื่อนาฬิกาเริ่มปลุกได้ดีทีเดียว และอย่าลืมว่ามีเบเกอรี่จากคาเฟ่ยามเช้าที่เพิ่งออกจากเตาอบ กรุ่นกลิ่นหอมๆ อุ่นๆ รอคุณอยู่นะ
ให้รางวัลตัวเองสำหรับการตื่นเช้า
ความต้องการที่จะตื่นไปวิ่งออกกำลังกายรับแสงอรุณของวันใหม่เป็นเรื่องที่น่าชื่นชม แต่ถ้าคุณแทบไม่เคยตื่นเช้า แถมยังไม่ใช่คนชอบวิ่ง มันก็ยากเอาการอยู่ที่คุณจะบรรลุเป้าหมาย แทนที่จะพยายามกระโจนสู่กิจวัตรใหม่รับแดดอุ่นๆ อย่างการวิ่งจ๊อกกิ้ง เปลี่ยนมาเริ่มต้นด้วยกิจกรรมที่เหมาะกับตัวเองจะดีกว่า โดยโฟกัสไปที่กิจกรรมง่ายๆ ก่อน แล้วค่อยๆ ปรับเลเวลความท้าทายขึ้นไป รวมการวิ่งหรือการออกกำลังกายต่างๆ เข้าไปด้วยยิ่งดี
ถ้าคุณโปรดปรานการวิ่งจ๊อกกิ้งอยู่แล้ว ดีเลย! เพราะการเซ็ทกิจวัตรประจำวันใหม่เพื่อการตื่นเช้า จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยากหากวางเป้าหมายที่ดีให้กับตัวเอง ซึ่งนั่นหมายความว่าคุณควรเซ็ทเวลาช่วงเช้าให้พิเศษสำหรับกิจกรรมที่คุณชอบจริงๆ เช่น ติดตามรายการทีวีสุดโปรด เล่นวิดีโอเกม หรือนั่งห้องน้ำและง่วนอยู่กับสแนปแชท
วางแผนการหลับ
การตื่นเช้าจะง่ายขึ้นมากถ้าคุณได้นอนหลับอย่างเพียงพอ สำหรับผู้ใหญ่ 7-9 ชั่วโมงกำลังดี ทั้งนี้ตัวคุณเองจะรู้ดีที่สุดว่ากี่ชั่วโมงจะพอดีกับความต้องการของร่างกายคุณ แต่ถ้าคุณไม่ชัวร์ก็ควรเซ็ทไว้สัก 8 ชั่วโมง แล้วค่อยปรับตามความเหมาะสม วิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้นอนหลับอย่างเพียงพอคือการเซ็ทแผนการนอน เหมือนที่คุณเคยทำตอนเด็กนั่นแหละ ตอนนี้คุณมี 2 ตัวเลขที่จะต้องดีลกับมันเพื่อช่วยกำหนดเวลานอนที่เหมาะสม นั่นคือ 8 ชั่วโมงสำหรับการนอนหลับ และเวลาที่คุณตั้งเป้าว่าจะตื่น(สมมุติว่าเซ็ทไว้ที่ 6 โมงเช้าไปออกกำลังกาย) เพื่อให้ครบ 8 ชั่วโมง คุณก็ต้องหลับ 4 ทุ่ม โน้ตเน้นๆ ไว้ด้วยว่า “4 ทุ่มคือหลับ” ไม่ใช่แค่เข้านอน งั้นคุณก็ต้องแปรงฟัน ล้างหน้า ใส่ชุดนอนให้เสร็จราวๆ 3 ทุ่มครึ่ง เพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายว่าถึงเวลานอนหลับฝันดีแล้ว
แต่การเข้านอน 3 ทุ่มครึ่ง มันไม่ง่ายเลยนะ!
แน่ล่ะว่ามันก็ยากเป็นธรรมดาในช่วงแรกของการเริ่มต้นทำตัวเป็น Morning person คีย์เวิร์ดสำคัญคือต้องทำแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป การเซ็ทให้ตื่น 6 โมงเช้าน่าจะเป็นเวลาที่โอเคที่สุดแล้วเพราะมันดูไม่ยากเกินไปที่คนเราจะยึดเป็นเกณฑ์ให้ตัวเอง แต่ถ้าคุณเป็นคนประเภทที่ปกติตื่น 8 โมงและการลากตัวเองออกจากที่นอนก็ช่างยากเย็นซะเหลือเกิน หรือ การยึดเอาช่วงเวลาเข้านอนไว้ที่ 3 ทุ่มนั้นดูแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ก็ให้เลื่อนเวลาตื่นของคุณให้มันพอดีๆ ไอเดียหลักคือคุณกำลังสร้างนิสัยใหม่ให้ตัวเองซึ่งมันจะดีที่สุดถ้าค่อยๆ ปรับเปลี่ยนทีละนิด เพราะฉะนั้นอย่าสุดโต่งไปตั้งปลุกเร็วกว่าเวลาที่คุณเคยตื่นปกติถึง 2-3 ชั่วโมง แต่ให้ลองเซ็ทปลุกก่อนที่เคยตื่นปกติสัก 15-30 นาที จากนั้นก็ค่อยปรับตามความเหมาะสมต่อไป
เลือกการเตือนให้เหมาะกับคุณ
ถ้าคุณเป็นคนหลับลึกชนิดที่ต้องปลุกด้วยเสียงดังพิเศษ หรือเป็นประเภทที่ต้องการเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ ก็ให้เลือกนาฬิกาปลุกที่เตือนในแบบที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเสียงดังพร้อมสั่นสนั่นหวั่นไหว หรือแบบที่ปลุกเบาๆ และเพิ่มเลเวลขึ้นทีละนิด ถ้าอยากตื่นแบบไม่หงุดหงิด เสียงกระดิ่งกังวานนุ่มๆ น่าจะช่วยได้ดี ถ้าคุณชอบเสียงดนตรีก็เลือกใช้วิทยุนาฬิกาปลุก แต่ถ้าคุณเป็นจอมขี้เซาแล้วล่ะก็อย่าลืมปิดฟังก์ชั่นเลื่อนการเตือน หรือไม่ก็ใช้ทริคง่ายๆ ด้วยการเอานาฬิกาปลุกไปวางไว้ไกลๆ เตียงเลย
แสงสว่างคือตัวช่วยที่ดี
คุณจะตื่นเช้าได้ไม่ยากถ้าถูกปลุกด้วยแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาอย่างพอดีๆ ซึ่งคุณอาจทำได้โดยเลือกใช้นาฬิกาปลุกที่มีฟังก์ชั่นเลียนแสงอาทิตย์ได้ด้วย หรืออีกวิธีง่ายๆ คือ ก่อนเข้านอนคุณก็เพียงเปิดผ้าม่านหรือมู่ลี่ไว้สักหน่อย แสงสว่าง โดยเฉพาะแสงธรรมชาติเป็นตัวช่วยที่ดีที่จะส่งสัญญาณให้กับร่างกายของคุณ ว่ามันเป็นเวลาที่จะเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดชื่น
กาแฟ กาแฟ และกาแฟ (หรือชา)
การได้จิบกาแฟกลิ่นหอมกรุ่นสักแก้วจะช่วยให้คุณเอ็นจอยเช้าวันใหม่ได้ดี หลายคนพบว่ามันช่วยเชิญชวนให้พวกเขาลุกออกจากที่นอนได้ง่ายขึ้น และความเพลิดเพลินในการดื่มกาแฟขณะที่อ่านหนังสือยังถือเป็นหนึ่งในการตั้งเป้าเพื่อให้รางวัลยามเช้ากับตัวเองได้ด้วย อีกทั้งกิจกรรมในการชงกาแฟยังช่วยให้คุณตื่นได้ดี ยิ่งถ้าคุณไม่ได้ใช้เครื่องชงกาแฟอัตโนมัติ แต่ต้องมาบดเมล็ดกาแฟเอง ทีนี้ล่ะก็ตื่นแบบหายงัวเงียแน่นอน การจัดเวลาทานอาหารเช้าก็เช่นกัน และถ้าได้ทานอาหารอุดมโปรตีน ถือเป็นการช่วยปลุกพลังรับเช้าวันใหม่ได้ดีมาก
Make it easy ให้วันใหม่ได้ชิลล์กว่า
สละเวลาเพียง 10 นาทีในช่วงเย็นเพื่อเตรียมความพร้อมจัดแจงข้าวของ หรืออะไรก็ตามที่คุณจะต้องใช้ในวันถัดไป เพื่อให้คุณได้ใช้ช่วงเวลาแห่งวันใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมเรื่องกาแฟ อาหารเช้า ชุดออกกำลังกาย ไปจนถึงการชาร์จสมาร์ทโฟนให้เรียบร้อย การใช้เวลาเตรียมสิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรช่วงกลางคืนของคุณ เพื่อที่ตอนเช้าจะได้เป็นช่วงเวลาแห่งคุณภาพ ได้ใช้สมองอย่างเต็มที่ในเวลาที่มันมีศักยภาพมากที่สุด
แม้แรกเริ่มจะไม่สำเร็จ จงอย่าลดละความพยายาม
การเปลี่ยนตัวเองเป็น Morning person ใช่ว่าจะทำได้เพียงชั่วข้ามคืน นั่นเพราะการสร้างนิสัยใหม่ต้องใช้เวลา ให้ตัวเองสัก 3 สัปดาห์ มุ่งมั่นเพื่อพิชิตยามเช้า และค่อยๆ ปรับตามความเหมาะสม เช่นเดียวกันกับแนวคิดของ ดร. แมกซ์เวล มอลท์ซ ที่ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยต้องทำสิ่งนั้นติดต่อกันอย่างต่อเนื่องครบ 21 วันจนเป็นนิสัยนั่นเอง ซึ่งถ้าคุณจะใช้เวลาพยายามมากกว่านั้นก็ยิ่งดี แต่ 3 สัปดาห์ถือป็นระยะเวลาที่ไม่มากเกินไปจนชวนท้อใจต่อการมุ่งบรรลุเป้าหมายเพื่อเป็น Morning person อย่างไรก็ตาม เมื่อตั้งใจแล้วก็ขอให้โชคดีค่ะ J !
_____________________________________________________________________________
www.thrillist.com by JOLIE KERR
ติดตามบทความอัพเดตสำหรับชาว GEN-C ได้ทุกเดือนทาง THE GEN-C Urban Living Solution Blog #Anandaurbancreative
สมัครสมาชิกเพื่อติดตามและรับข่าวสารหรือร่วมกิจกรรมดีๆกับเราทาง THE GEN-C Urban Living Solution Blog ได้ที่ http://bit.ly/2aEMxIJ