ในรอบปี 2016 ที่ผ่านมา ทางแผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ได้เปิดเผยถึงข้อมูลที่สำคัญของตลาดคอนโดมิเนียมในเซกเมนท์ไฮเอเนด์ขึ้นไปว่า คอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ (2 แสน – 2.99 แสนบาทต่อตารางเมตรและมีราคาต่อยูนิต 10 ล้านบาทขึ้นไป) และซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่ (3 แสนบาทต่อตารางเมตรขึ้นไปและมีราคาต่อยูนิต 20 ล้านบาทขึ้นไป) ที่มีการเปิดตัวในกรุงเทพฯ ในปี 2016 มีจำนวนลดลงราวครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับปี 2015 โดยมีการเปิดตัวทั้งสิ้น 725 ยูนิต หรือคิดเป็น 11% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดของโครงการที่เปิดตัวในปีนี้ และลดลง 4% ต่อปี ซึ่งไม่ต่างกับตลาดที่พักอาศัยแนวราบที่มีการเปิดตัวโครงการบ้านระดับลักซ์ชัวรี่ในย่านใจกลางเมืองแห่งใหม่เพียง 45 หลังในปี 2016 จาก 136 หลังในปีก่อน โดยมีราคาเฉลี่ยต่อหลังเพิ่มขึ้น 5.1% มาอยู่ที่ราว 55 ล้านบาท
นอกจากนี้ แผนกวิจัย ซีบีอาร์อี ยังมอง Trend ในปี 2017 ว่าอัตราการเติบโตของตลาดจะลดลง เนื่องจากราคาขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้ลูกค้าซื้อได้ยากขึ้น และทำให้จำนวนผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าลดลงตามไปด้วย
จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เป็นเครื่องชี้วัดว่าในปี 2017 นี้ บรรดาดีเวลลอปเปอร์จะต้องเตรียมตัวต่อสู้ แย่งชิงส่วนตลาด ที่มีอยู่อย่างจำกัด ให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยปัจจัยที่จะเป็นตัวชี้วัดว่าโครงการไหนจะดึงดูดความสนใจของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากกว่ากัน บางทีอาจจะไม่ได้อยู่ที่ทำเล และราคา เพียงแค่สองปัจจัย ดังที่ตำราอสังหาฯแทบจะทุกเล่มได้เคยว่าไว้…ในทางกลับกัน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปแผนก R&D ของดีเวลลอปเปอร์ ทุกรายจะต้องทำงานหนักมากขึ้น ในการที่จะค้นหาว่าอะไรคือความต้องการที่แท้จริง โดยที่อาจจะเป็น Unmet need ที่ยังไม่เคยมีใครรู้มาก่อน ของกลุ่มผู้ซื้อ-ขายอสังหาฯที่ยังคง active อยู่ในตลาดตอนนี้ ซึ่งก็น่าจะเป็นวิธีการที่ดีกว่าการที่จะมุ่งไปทำการตลาด ประโคมสื่อไปในหมู่กลุ่มคนเป้าหมายที่ไม่ได้มีการซื้อขาย ไม่ได้มี active ใดๆในตลาด
แต่ก่อนที่จะไปล้วงลึกถึง Consumer Insight สำหรับลูกค้าแต่ละราย การสังเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในรอบปี เพื่อการคาดเดาเทรนด์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และนำมาปรับใช้กับโครงการ ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยเสริมจุดขายให้กับโครงการด้วยเช่นกัน…ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างเทรนด์ที่น่าสนใจในปี 2017 มาฝากคุณผู้อ่านกัน
1. Branded Residences จะมีเพิ่มขึ้นมากในตลาด
ในอดีตที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสเห็นโครงการที่เป็น Branded Residences ในกลุ่มตลาด Super Luxury เท่านั้น ซึ่งไม่มีใครปฎิเสธได้ว่า นี่คือการสร้าง Value Creation ให้กับโครงการอย่างแท้จริง โดยเฉพาะหากโครงการนั้นๆจับกลุ่มเป้าหมายที่ตลาดต่างชาติ เนื่องจาก Branded Residences มีจุดเด่นของความเป็นสากลทั่วโลก สามารถสร้าง Worldwide Awareness ได้โดยที่ไม่ต้องสร้างเรื่องราว ซึ่งเท่าที่สังเกตุดู ตลาด Branded Residences ในเมืองไทยยังสามารถเติบโดดีอีกหลายเท่า เนื่องจากโครงการส่วนใหญ่มักจะจับมือกับ Global Brand ในส่วนของ Hospitality Industry เพื่อดึงเอาจุดแข็งในด้านงานบริการมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ Four Seasons, Mandarin Oriental, The Edition หรือ The Ascott แต่ในความเป็นจริงยังมี Brand จากหลากหลายอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างจุดแข็งที่แตกต่างให้กับโครงการได้เช่นกัน โดยเฉพาะบรรดา Fashion & Design Industry ซึ่งเราได้มีโอกาสเห็นการจับมือกันเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ในโครงการ KHUN by YOO Inspired by Starck
2. ปลดล้อคปัญหาที่ดินราคาแพงด้วยคอนโด Leasehold
ในเมืองไทยนั้น ผู้บริโภค 100 ทั้ง 100 มองว่า การซื้อกรรมสิทธิเช่าที่ดินในระยะยาวตาม เวลาที่กำหนดนั้น (leasehold) มักจะมีเฉพาะที่ๆเป็นของหน่วยงานราชการ หรือไม่ก็สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ วิธีนี้ landlord ก้ไม่ต้องกลัวว่า landbank ในมือจะหายไปไหน ขณะเดียวกันผู้ซื้อเองก็จะ ได้ซื้อในราคาที่ถูกกว่าการซื้อแบบ freehold แถม developer ก็ยังได้เก็บค่าดอกเบี้ยจากการปล่อยกู้ให้กับผู้ซื้อได้อีกด้วย…หมดกังวลในเรื่องของการเก็งกำไรระยะสั้น การขายต่อในราคาที่ไม่สมเหตุสมผลในตลาด จะถูกแทนที่ด้วย real demand ที่ต้องการเช่าอยู่
3. โครงการ Mixed Used จะรุ่งเพราะทุกคนต้องการ Recurring Income
ธุรกิจอสังหาฯนับว่าเป็นธุรกิจที่มีความผันผวนเยอะ เราไม่มีวันแน่ใจได้เลยว่า ถึงโครงการเราจะขายหมด แล้วในที่สุดแล้วห้องทุกห้องจะโอนได้หมด โครงการ Mixed Used ประเภทที่ว่าทำทั้งคอนโด ออฟฟิศ โรงแรม และห้างสรรพสินค้าในที่เดียวกันครับ จะช่วยสร้าง efficiency มากที่สุด ในกรณีที่ราคาต้นทุนที่ดินแพง หรือเป็นที่ดินแบบ Leasehold ช่วยกระจายความเสี่ยงในการทำธุรกิจ นอกจากนี้โครงการประเภท mix used นั้นมักจะขายรีเซลได้ดี เพราะ traffic ของลูกค้ามีต่อเนื่อง ไม่นิ่งเหมือนกับ คอนโดทั่วไป
4. บ้านที่อยู่แล้วสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้พักอาศัย
ทุกวันนี้ ดีเวลลอปเปอร์ หันมามุ่งเป้าหมายเกี่ยวกับสุขภาพ ความสะดวกสบายส่วนบุคคล และพยายามเติมสิ่งที่สร้างเสริมสิ่งเหล่านั้นไว้ในที่อยู่อาศัย ในปีต่อๆไปเราคงได้เห็นฟังก์ชั่นเพื่อสุขภาพภายในห้องพัก และพื้นที่ส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็น ระบบกรองน้ำและเครื่องกรองอากาศ ระบบทำความร้อนแบบใช้พลังงานหมุนเวียน ระบบรักษาระดับความชื้น ฆ่าเชื้อราในห้องน้ำ ห้องทรีตเม้นท์ ฝักบัวอาบน้ำผสมวิตามินซี และ Circadian Lightings System* (ระบบแสงที่เลียนแบบวงจรของดวงอาทิตย์เพื่อช่วยดูแลระดับเมลาโทนินในร่างกายและความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง) รวมไปถึงสระว่ายน้ำแบบวารีบำบัด หลาย Station และ Chromotherapy Healing ที่กำลังจะมีให้เห็นในสระว่ายน้ำของโครงการอย่าง Victtorio
5. การนำเสนอขายโครงการในแบบเสมือนจริง (VR)
ด้วยการที่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีต่างๆมันก้าวล้ำมากขึ้น ก็เลยมีนวัตกรรมอะไรหลายๆอย่าง ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การขายของในงานอีเว้นท์ หรือการขายโครงการที่ไม่มีห้องตัวอย่างโดยที่ไม่ต้องเข้าไปชมห้องจริงให้เสียเวลาครับ นั่นคือเทคโนโลยี VR หรือภาพเสมือนจริงนั่นเอง ยิ่งตอนนี้แว่น VR มีอยู่หลากหลายยี่ห้อ บางทีซื้อมือถือเค้าก็แถมมาให้แล้ว และมีคลิป 360 องศามากมายให้เราดูใน Youtube และ Facebook จึงทำให้อุปกรณ์ VR Gear กลายเป็นของสามัญประจำบ้านสำหรับเหล่า IT Geek กันทุกคนซึ่งการที่เทคโนโลยี VR, 3D Mapping และ AR ในตอนนี้มันพัฒนาและขยายตัวไปในวงกว้างมากขึ้น ก็ไม่แน่ว่าในอนาคตรูปแบบการขายโครงการอาจจะเป็นเพียงแค่ Shop สี่เหลี่ยมขนาด 200 ตรม. ในห้างเพียงแค่ห้างเดียว แต่สามารถจัดแสดงโครงการอะไรก็ได้เป็น 100 เป็น 1,000 โครงการ จบครบในที่เดียวได้ โดยที่ไม่ต้องไปทำห้องตัวอย่างให้เสียเวลา สิ้นเปลืองงบประมาณซะเปล่าๆ ใครจะไปรู้…