NOTE:
– การพัฒนาแบบก้าวกระโดดของ Amazon เรื่องเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทำให้โลกเห็นความชัดเจนว่า Amazon จะพร้อมชนช้างกับ Apple และ Google ในศึกบริการผู้ช่วยเสมือน ซึ่งขณะนี้ Amazon ประกาศว่าทุ่มงบไม่อั้นสำหรับการพัฒนา Alexa
– เปิดตัว Amazon Go ร้านขายของชำขนาด 1,800 ตารางฟุตที่ประเดิมในซีแอตเทิล บนจุดเด่นให้ลูกค้าสามารถสแกนสมาร์ทโฟน แล้วหยิบสินค้าในร้านกลับไปบ้านได้โดยไม่ต้องรอคิวจ่ายเงิน
ใครก็รู้ว่า Amazon เป็นเว็บไซต์ขายของออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา และมีสาขามากมายทั่วโลก เจฟฟ์ เบซอสผู้ก่อตั้ง Amazon ในปี พ.ศ. 2537 และเริ่มเปิดให้บริการออนไลน์ในปี พ.ศ. 2538 โดยเริ่มต้นจากการขายหนังสือออนไลน์ และขยายกิจการทั้งในด้าน วีเอสเอช ดีวีดี ซีดีเพลง ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ วิดีโอเกม เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ อาหาร ฯลฯ เว็บไซต์ Amazon เองยังมีเว็บไซต์ย่อยแยกออกมาสำหรับขายของในประเทศอื่นนอกเหนือจากสหรัฐอเมริกา ได้แก่ แคนาดา สหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส จีน และ ญี่ปุ่น ซึ่งนอกจากนี้ ประเทศนอกเหนือจากนี้ยังสามารถซื้อของผ่านAmazon โดยการส่งสินค้าข้ามประเทศได้
แต่ในจำนวนประเทศที่มีสาขาแยกย่อยออกมาข้างต้น กลับไม่ใช่เรื่องง่ายของ Amazon เลยที่จะบุกตลาดจีนซึ่งมีสองยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซอย่าง Alibaba และ JD.com ครองตลาดอยู่แล้ว
เหตุผลที่การเข้าไปเจาะตลาดในจีนของ Amazon ดูท่าจะไม่ประสบความสำเร็จ น่าจะเป็นเพราะกำแพงสูงและหนาเท่ากำแพงเมืองจีนของคู่แข่งเจ้าบ้าน 2 รายที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวันอย่าง Alibaba และ JD.com
ในปีที่แล้ว Amazon พยายามรุกหนักด้วยการส่ง Amazon Prime เข้ามาให้บริการในจีน แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เพราะถ้าดูจากส่วนแบ่งการตลาดในจีนแล้ว Amazon ยังครองได้เพียงแค่ 1% ของสินค้าอุปโภคบริโภค
การพยายามทำตลาดโดยให้ผู้ซื้อได้รับสิทธิพิเศษของ Amazon Prime ก็คือ “การจัดส่งฟรี” แต่แค่นั้นมันไม่พอ เพราะอีคอมเมิร์ซในจีนรายใหญ่ทุกรายก็สามารถส่งสินค้าได้ฟรี แล้วไม่ใช่แค่ส่งสินค้าจีนฟรีเท่านั้น สินค้าที่มาจากฝั่งตะวันตก อีคอมเมิร์ซอย่าง Alibaba และ JD.com ก็สามารถจัดส่งให้ฟรีได้เช่นเดียวกัน แต่หลังจากการปล่อย Amazon Prime เมื่อปีที่แล้ว (และยังไม่สามารถตีตลาดจีนได้) Amazon ก็เลยประกาศปรับลดราคาสมาชิก Prime ในเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมาให้อยู่ที่ 30 เหรียญ (ราวๆ 1,000 บาท) ถือว่าต่ำกว่าค่าสมาชิกในสหรัฐอเมริกาอยู่มาก ที่อยู่ที่ 99 เหรียญ (ประมาณ 3,300 บาท) แต่ทั้งนี้ แม้จะลดราคาลงแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่ายังไม่สามารถเจาะตลาดจีนได้
ลองมาดูที่แผนการตลาดของทั้ง Alibaba และ JD.com ที่ต่างมีข้อเสนอสำหรับสมาชิก แต่ทั้งคู่บอกชัดเลยว่า “ไม่ต้องสมัครสมาชิก” แต่เพียงแค่ซื้อของเกิน 15 เหรียญ (500 บาท) ค่าจัดส่งสินค้าจะฟรีทั้งหมด นอกจากนั้น Alibaba ยังมีรางวัลพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อของ จะมีโอกาสได้รับส่วนลดในการซื้อสินค้าแบรนด์เนมและอาจได้ตั๋วไปดูคอนเสิร์ตอีกด้วย ในขณะที่ JD.com ไม่น้อยหน้า บอกเลยว่าถ้าซื้อของเกิน 22 เหรียญ (730 บาท) สามารถอ่าน e-book ได้ไม่อั้น และได้สิทธิจัดส่งสินค้าฟรี 5 เดือนกันไปเลย
JD.com
อีกอย่างที่ Amazon ยังสู้ไม่ได้คือ“แพลตฟอร์มบนโทรศัพท์มือถือ” Amazon ไม่โดดเด่นบนมือถือ แต่จะโดดเด่นบนเว็บไซต์มากกว่า ซึ่งสำหรับคนสมัยใหม่แล้วแทบจะชอบซื้อและจ่ายด้วยระบบที่ง่ายที่สุดผ่านสมาร์ทโฟนทั้งนั้น ในขณะที่อีกรายใหญ่ของจีนทั้ง 2 นั้นทำแพลตฟอร์มมือถือออกมาได้ค่อนข้างดี
แต่ต้องไม่ลืมว่า คนจีนกว่า 60% ใช้โทรศัพท์มือถือในการซื้อของออนไลน์ โดยนักวิเคราะห์จาก Boston Consulting Group ได้คำนวณมูลค่าอีคอมเมิร์ซของจีนในปีนี้ไว้ที่ 720,000 ล้านเหรียญ (ประมาณ 23 ล้านล้านบาท)
ถึงที่สุดแล้ว หาก Amazon ยังวางเป้าหมายไว้จุดเดิมคือ จะเป็นบริการที่ส่งสินค้าให้กับคนทั้งโลก โดยการเจาะตลาดจีน ประเทศซึ่งมีประชากรมากที่สุดในโลกไม่สำเร็จ ก็อาจจะต้องคิดวางแผนกลยุทธ์ใหม่ให้สามารถจะเจาะทำลายกำแพงของเจ้าบ้านอย่าง Alibaba และ jD.com ไปให้ได้
ค้นหาแรงบันดาลใจ ตอบโจทย์ ตรงจุด ชีวิตคนเมือง มองโลกใหม่ในอีกมิติที่คุณไม่เคยสัมผัสที่ GEN-C Urban Living Solutions
Facebook: Ananda Development
Instagram: ananda_development
Youtube: Ananda Development
ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก https://brandinside.asia