เชื่อว่าชาว Gen C หลายคนคงได้ยินคำว่า Black Friday กันมาบ้างในช่วงปีหลังๆที่ผ่านมานี้ เพราะทั้งห้างสรรพสินค้า ร้านค้าทั่วไป หรือแม้กระทั่งร้านค้าออนไลน์ มักจะจัดโปรโมชั่นลดราคาสินค้าอย่างกระหน่ำ โดยใช้แคมเปญ Black Friday เข้ามาควบคู่ด้วย แต่เคยสงสั้ยกันมั้ยว่าทำไมต้อง Black Friday และวันนี้อนันดาหาคำตอบมาให้ทุกคนได้รู้จักความเป็นมาของ Black Friday กันมากขึ้น ไปติดตามกันเลย
“Black Friday” ถูกกำเนิดให้มีขึ้นในวันศุกร์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายนของทุกปี และนับวันศุกร์หลังจากวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day) โดยต้นกำเนิดของวันนี้มาจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเหตุการณ์นี้มีมาตั้งแต่ช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 มูลเหตุที่มาของวัน Black Friday มีสมมติฐานอยู่ 2 เหตุการณ์ เหตุการณ์แรก ได้ตีความว่าเป็น “วันร้ายในทางเศรษฐกิจ” เนื่องจากมีนักลงทุนกว้านซื้อทองคำเพื่อปั่นราคาทองคำในตลาดจนตลาดหุ้นร่วงกราว เกิดผลกระทบทุกภาคส่วนแม้กระทั่งพลเมืองสหรัฐฯล้มละลายกันถ้วนหน้า
ส่วนเหตุการณ์ที่ 2 เป็นการตีความจากช่วงก่อนหน้านั้นเ เหตุพราะร้านค้าปลีกอยู่ในช่วงซบเซา ขาดทุนหนักจนยอดขายติดลบตัวแดง แต่พอหลังช่วงวันขอบคุณพระเจ้า คนออกมาซื้อของมากขึ้นจากยอดขายตัวแดงพลิกกลับมาเป็น “สีดำ” ยอดตัวเลขกำไรพุ่งตัวกลับมาเป็นตัวดำภายในวันเดียว จากนั้นมาจึงเป็นคำเรียกขาน “Black Friday” สำหรับวันศุกร์หลังวันขอบคุณพระเจ้าในสหรัฐอเมริกา
สืบเนื่องมาจากหลังวันขอบคุณพระเจ้า เป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะเพราะจะเข้าใกล้เทศกาลคริสมาสต์และปีใหม่ ทำให้ประชาชนต่างพร้อมใจกันออกมาเตรียมหาซื้อของขวัญกันอย่างอลหม่าน และความพีคคือ ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย ประชาชนต่างพากันออกมาช้อปปิ้งกันจนวุ่นวาย เกิดเหตุการณ์โกลาหลไปทั่วเมือง ทำให้ตำรวจต้องเข้ามารักษาความสงบ ในมุมของตำรวจจึงมองว่าเป็น “วันศุกร์ที่มืดหม่น” หรือ “Black Friday”เช่นกัน และพอเรียกกันเล่นๆไปมาสุดท้ายก็กลายเป็นคำเรียกติดปากกันในที่สุด
เหตุการณ์ต่างๆนี้เอง นักการตลาดและเจ้าของสินค้า มองเห็นโอกาสทองนี้จึงได้หาเหตุเชื่อมโยงให้เกิดแคมเปญ Black Friday ขึ้น โดยจัดโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย และเป็นธรรมเนียมเทศกาลช้อปปิ้งที่ยิ่งใหญ่อีกหนึ่งอีเว้นท์ของฝั่งอเมริกา และลามไปทั่วโลก แม้กระทั่งประเทศไทยด้วยเช่นกัน
