NOTE:
– ปัจจุบันยอดขายของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus คิดเป็นเพียงร้อยละ 16 ของยอดขาย iPhone ทั้งหมดจาก Apple ในปี 2017 ซึ่งต่ำกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่มียอดขายสูงถึงร้อยละ 40 ของยอดขายทั้งหมดในปี 2016
– สาเหตุที่ยอดขายของ iPhone 8 และ iPhone 8 Plus ชะลอตัวลงอันเนื่องมาจากการที่ลูกค้าเลือกซื้อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ที่เป็นรุ่นเก่ากว่า ราคาถูกกว่าแต่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน และอีกส่วนที่รอซื้อเรือธงตัวจริงของแบรนด์อย่าง iPhone X ที่จะวางขายในเดือนพฤศจิกายนนี้
– iPhone 8 , iPhone 8 Plus และ iPhone X ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของแบรนด์ที่รองรับการชาร์จไร้สาย (Wireless Charging) บน Wireless Charger มาตรฐาน Qi
วางขายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนตัวท็อปทั้งสามรุ่นของ Apple อย่าง iPhone 8, iPhone 8 Plus และ iPhone X ที่ถือได้ว่ารอบนี้ทางแอปเปิลกลับมาเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางเทคโนโลยีต่างๆบนสมาร์ทโฟนอีกครั้ง จะเห็นได้จากการนำระบบ AI และเทคโนโลยี AR เข้ามาประยุกต์ใช้กับสมาร์ทโฟนได้อย่างใกล้ชิดผู้บริโภคมากขึ้น รวมไปถึงใช้ระบบรักษาความปลอดภัยรูปแบบใหม่อย่าง Face ID ซึ่งทางแอปเปิลเคลมว่ามีความปลอดภัยมากกว่า Touch ID ในปัจจุบันที่มีโอกาสผิดพลาดสูงถึง 1 ใน 50,000 เลยทีเดียว (Face ID มีโอกาสผิดพลาด 1 ใน 1,000,000)
และสำหรับชาว Gen-C ที่กำลังคิดจะถอยสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่ดูสักเครื่อง อาจเริ่มลังเลใจว่า แล้วเจ้า iPhone 8 Plus กับ iPhone X มันต่างกันตรงไหน และควรซื้อรุ่นใดจะคุ้มค่าที่สุด วันนี้เรามีข้อดีข้อเสียของแต่ละรุ่นมาให้พิจารณาแล้วครับ
iPhone 8 และ iPhone 8 Plus
ในที่นี้ขอหยิบยกเอา iPhone 8 Plus ซึ่งมีราคาใกล้เคียงกับ iPhone X และมีกล้องคู่เหมือนกันขึ้นมาเปรียบเทียบเพื่อที่จะได้ดูสมน้ำสมเนื้อ โดยเจ้า iPhone 8 Plus นี้ถือเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นต่อยอดจาก iPhone 7 Plus ที่ประสบความสำเร็จทั้งทางด้านยอดขายและคำวิจารณ์เป็นอย่างสูง ซึ่งแอปเปิลเองก็เคยบอกเอาไว้ว่า iPhone 7 Plus คือไอโฟนรุ่น Plus ที่ประสบความสำเร็จที่สุดตั้งแต่เคยมีมา และเพื่อสานต่อความสำเร็จ iPhone 8 Plus จึงมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่คล้ายคลึงของเก่า แต่เปลี่ยนวัสดุจากเดิมที่เป็นโลหะมาปิดทับด้วยกระจกแทน ผลที่ได้คือความหรูหราที่เพิ่มมากขึ้น
จุดเด่น
- – ใช้วัสดุกระจกที่ให้ความหรูหรา
- – รองรับการชาร์จไร้สาย (Wireless Charging) บนอุปกรณ์แท่นชาร์จ มาตรฐาน Qi
- – จอภาพ Retina HD ที่รองรับเทคโนโลยี True Tone (การปรับไวท์บาลานซ์หน้าจอโดยอัตโนมัติเพื่อรองรับสภาพแสงรอบข้าง)
- – ใช้ชิพ A11 Bionic ที่ประมวลผลเร็วกว่ารุ่นเดิมถึงร้อยละ 70 พร้อม Machine Learning
- – ใช้ GPU รุ่นใหม่ ประมวลผลกราฟฟิคได้ไวและลื่นไหลมากยิ่งขึ้น
- – เพิ่มระบบ Portrait Lighting ที่ช่วยให้จัดแสงในการถ่ายภาพบน Portrait Mode ได้ดีและคมชัดมากยิ่งขึ้น
- – รองรับระบบ AR เต็มรูปแบบ
- – มีสามสีให้เลือก ได้แก่ สีเงิน สีทอง และสีเทาสเปซเกรย์
- – เริ่มต้นราคาที่ 32,500 บาท (อ้างอิงจาก Apple TH)
จุดด้อย
- – วัสดุกระจกอาจแตกหักได้ง่ายกว่าวัสดุโลหะ
- – ความจุแบตเตอรี่ลดลงจาก iPhone 7 Plus เล็กน้อย
- – ความละเอียดกล้องเท่าเดิม
- – รูปทรงคล้ายเดิมมากเกินไป สวนทางกับแบรนด์อื่นๆที่เริ่มพัฒนาพื้นที่รอบจอให้มีขนาดลดลงกันมาสักพักแล้ว
iPhone X
นับตั้งแต่ปี 2007 ที่ iPhone รุ่นแรกได้เปิดตัวออกสู่สาธารณะชน สมาร์ทโฟนตระกูลนี้ก็ได้ปฏิวัติรูปแบบการใช้งานจากยุคปุ่มกดมาสู่หน้าจอทัชสกรีนจนกลายเป็นเทรนด์ของสมาร์ทโฟนทุกรุ่นในปัจจุบัน ซึ่งในปีนี้ถือเป็นการครบรอบ 10 ปีแห่งไอโฟน แอปเปิลก็ได้เปิดตัว iPhone X สุดยอดสมาร์ทโฟนที่จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของเทรนด์เทคโนโลยีอีกครั้ง ด้วยการบอกลาปุ่ม Home อันเป็นเอกลักษณ์เพื่อมุ่งเข้าสู่โลกของหน้าจอทัชสกรีนแบบไร้ขอบ รวมไปถึงการเลิกใช้ระบบ Touch ID อันเป็นวิธีรักษาความปลอดของเครื่องที่แอปเปิลเริ่มใช้กับ iPhone 5S จนแบรนด์อื่นๆต้องทำตามมาเป็นระบบ Face ID ที่ใช้ใบหน้าในการปลดล็อคเครื่องแทน
จุดเด่น
- – เป็นรุ่นครบรอบ 10 ปีโดยทางแอปเปิลได้เคลมเอาไว้ว่านี่คือสมาร์ทโฟนแห่งอนาคต
- – รองรับการชาร์จไร้สาย (Wireless Charging) บนอุปกรณ์แท่นชาร์จ มาตรฐาน Qi
- – จอภาพ Super Retina แบบ OLED ที่ให้สีสันที่สดและคมชัดมากกว่า Retina แบบเดิม
- – หน้าจอทัชสกรีนขนาด 5.8 นิ้วขนาดเต็มจอ ความละเอียด 458 ppi
- – ใช้ชิพ A11 Bionic ที่ประมวลผลเร็วกว่ารุ่นเดิมถึงร้อยละ 70 พร้อม Machine Learning
- – ใช้ GPU รุ่นใหม่ ประมวลผลกราฟฟิคได้ไวและลื่นไหลมากยิ่งขึ้น
- – กล้องหน้าเพิ่มความละเอียดเป็น 7 ล้านพิกเซลพร้อมเทคโนโลยี TrueDepth ที่ช่วยวิเคราะห์จุดต่างๆบนใบหน้ากว่า 30,000 จุดได้อย่างรวดเร็ว รองรับ Portrait Mode และ Portrait Lighting บนกล้องหน้า
- – กล้องคู่หลังมาพร้อมกับระบบกันสั่นทั้งสองเลนส์ รองรับ Portrait Mode และ Portrait Lighting ที่สมจริงมากยิ่งขึ้น
- – รองรับระบบ AR เต็มรูปแบบ
- – ใช้ระบบรักษาความปลอดภัยรูปแบบใหม่อย่าง Face ID ที่ดึงเอาข้อดีของระบบ TrueDepth บนกล้องหน้ามาช่วยรักษาความปลอดภัย สามารถปลดล็อคได้แม้จะใส่หมวก แว่นตา แต่งหน้าหรือเปลี่ยนทรงผม
- – รองรับระบบ Animoji ซึ่งเป็นการใช้ระบบ TrueDepth ในการวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของใบหน้าเพื่อประมวลผลออกมาเป็น Animoji ที่มีท่าทางเดียวกับเรา
- – มีสองสีให้เลือก ได้แก่ สีเงินและสีเทาสเปซเกรย์
- – เริ่มต้นราคาที่ 40,500 บาท (อ้างอิงจาก Apple TH)
จุดด้อย
- – เป็นสมาร์ทโฟนทัชสกรีนที่มีพื้นที่“เกือบ”เต็มหน้าจอ เนื่องจากต้องเว้นพื้นที่ด้านบนไว้สำหรับใส่เซนเซอร์ให้กับเทคโนโลยี TrueDepth ซึ่งบางคนไม่ชอบที่แหว่งแต่บางคนก็บอกว่าเป็นเอกลักษณ์ดี
- – ด้วยหน้าจอที่มีแถบเซ็นเซอร์ด้านบน เมื่อเวลากดเล่นวิดีโอเต็มจอก็จะทำให้แถบที่ว่านี้บดบังทัศนียภาพอื่นๆ
- – ด้วยความที่มีสัดส่วนหน้าจอไม่เหมือนไอโฟนรุ่นอื่นๆ จึงทำให้บางแอปพลิเคชั่นยังไม่รองรับการแสดงผลอย่างเต็มรูปแบบบนหน้าจอ iPhone X
สรุป: ด้วยราคาที่ต่างกันเกือบหมื่นจึงทำให้เรื่องงบประมาณนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับคนที่งบจำกัดการเลือก iPhone 8 Plus ก็เป็นอะไรที่คุ้มค่าสุดๆเพราะเนื่องจากตัว iPhone 8 Plus และ iPhone X มีหลายอย่างที่ใช้อุปกรณ์ชนิดเดียวกันไม่ว่าจะเป็น ชิพ A11 Bionic ที่มาพร้อมกับ Machine Learning , GPU, รองรับ Portrait Lighting, รองรับระบบ AR และรองรับ Wireless Charging ส่วนถ้าใครมีงบประมาณที่เหลือเฟือและอยากใช้สมาร์ทโฟนสุดล้ำแห่งอนาคต การจัด iPhone X ที่ได้ระบบ TrueDepth ของกล้องหน้าและทัชสกรีนแบบเต็มจอเพิ่มเข้ามาก็เป็นอะไรที่เจ๋งสุดๆอีกเช่นเดียวกันครับ
ค้นหาแรงบันดาลใจ ตอบโจทย์ ตรงจุด ชีวิตคนเมือง มองโลกใหม่ในอีกมิติที่คุณไม่เคยสัมผัสที่ GEN-C Urban Living Solutions
Blog: www.ananda.co.th/blog/thegenc
IG: Ananda_developement
FB: Ananda.pcl
YouTube: Ananda Development
###
ขอบคุณข้อมูลประกอบจาก: www.apple.com