ดังนั้น Keto ก็คือการกำหนด ‘อาหาร’ ด้วยการทานแบบ Low-Carb, High-Fat
IF หรือ Intermittent Fasting เป็นการทานอาหารแบบกำหนดช่วงเวลา โดยส่วนมากนิยมสูตร 16:8 นั่นคืออดอาหาร 16 ชั่วโมง และทานอาหาร 8 ชั่วโมง
โดยช่วงเวลาที่อดอาหารนั้นไม่สามารถทานอาหารที่ให้พลังงานได้เลย ยกเว้นเครื่องดื่มที่ไม่ให้พลังงานอย่างน้ำเปล่า, ชาหรือกาแฟที่ไม่เติมน้ำตาล ฯลฯ
ดังนั้น IF คือการกำหนด ‘เวลา’ ในการทานอาหารในแต่ละวันนั่นเอง
ถ้าเลือกทาน KETO หรือ IF น้ำหนักหายไปได้อย่างไร
KETO: เมื่อเราเน้นทานไขมันดีและโปรตีนจำนวนมาก ทำให้ร่างกายปรับตัวเข้าสู่โหมด Ketosis ซึ่งจะดึงไขมันมาเผาผลาญ และทำให้ไขมันกลายเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย
IF: ช่วงเวลาที่อดอาหาร 16 ชั่วโมงนั้น ระดับอินซูลินในร่างกายจะลดลง ขณะที่ Growth Hoemone สูงขึ้น เป็นผลให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น โดยช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้ 3.6-14% โดยเฉพาะไขมันสะสมในร่างกายที่ถูกดึงไปเผาผลาญ
ใครเหมาะที่จะทานแบบ KETO แล้วใครเหมาะกับการทานแบบ IF
KETO: เหมาะสำหรับคนที่อยากลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังเหมาะกับคนที่ชอบทานอาหารติดไขมันได้
IF: เหมาะกับคนที่ลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมีเป้าหมายในการลดน้ำหนักระยะยาว ที่สำคัญเหมาะกับคนที่ไม่ทานมื้อเช้า รวมทั้งคนที่มีน้ำหนักคงที่ที่อยากลดน้ำหนักเพิ่ม
ข้อความรู้และระวัง ก่อนตัดสินใจเลือกลดน้ำหนัก
KETO: ไขมันที่เลือกทานควรเป็นไขมันดี ไม่ใช่ไขมันอะไรก็ได้ นอกจากนี้การทาน Keto ไม่เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานที่ต้องฉีดอินซูลิน ผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูง รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาตับไม่ดีก็ไม่ควรทาน
IF: ช่วงเวลาที่ทานได้ ควรเลือกทานแบบ Healthy ไม่ตามใจปาก นอกจากนี้การทานแบบ IF ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหากระเพาะ โดยเฉพาะคนป่วยโรคกระเพาะ รวมทั้งยังไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องน้ำตาลในเลือด